วิเคราะห์ฟุตบอล เอฟเอ คัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ VS แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

วิเคราะห์ฟุตบอล คาราบาว คัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ VS แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ส่อให้ อองโตนี่ มาร์กซิยัล ลงไปยืนเป็นกองหน้าเพื่อล่าตาข่าย “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมคืนทัพใหญ่ให้ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ กลับมาสวมบทเป็นหัวหอกในศึกเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ คืนวันที่ 3 มิ.ย.นี้

เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ VS แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

สนาม : เวมบลีย์ สเตเดี้ยม

เวลา : 21.00 น.

แมนเชสเตอร์ ซิตี้

เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ

รอบ 3 : ชนะ เชลซี 4-0 (เหย้า)

รอบ 4 : ชนะ อาร์เซนอล 1-0 (เหย้า)

รอบ 5 : ชนะ บริสตอล ซิตี้ 3-0 (เยือน)

รอบ 8 ทีมสุดท้าย : ชนะ เบิรน์ลีย์ 6-0 (เหย้า)

รอบรองชนะเลิศ : ชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 3-0 (สนามกลาง)

คาดว่ากุนซือ “เป๊ป” โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า จะปรับทัพบางตำแหน่ง เพื่อลุ้นเก็บชัยคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยรายการที่ 2 ของฤดูกาลนี้ไปเลย หลังจากที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาได้แล้วหนึ่งรายการ และจะได้ต่อยอดไปสู่การเข้าป้าย “ทริปเปิ้ลแชมป์” เพราะยังมีโอกาสยึดบัลลังก์ “เจ้าสโมสรยุโรป” ในฐานะแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อยู่เหมือนกัน จึงพร้อมให้พวกแข้งหลักกลับมาลงสนามทั้งหมดเลย เพราะว่าแทบจะไม่มีปัญหานักเตะได้รับบาดเจ็บเลยด้วย

11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 3-2-4-1

เอแดร์ซอน โมราเอส, มานูเอล อคานยี่, รูเบน ดิอาส, นาธาน อาเก้, โรดรี้, จอห์น สโตนส์, อิลคาย กุนโดกาน, เควิน เดอ บรอยน์, แจ็ค กรีลิช, ริยาด มาห์เรซ, เออร์ลิ่ง ฮาลันด์

ผู้รักษาประตู : เตรียมได้เห็น เอแดร์ซอน โมราเอส ยืนเฝ้าเสาในฐานะมือหนึ่งเหมือนเดิม ส่วนในรายของ สเตฟาน ออร์เตก้า ไม่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอยู่แล้ว เพราะถูกวางให้เป็นตัวสำรองอยู่แล้วนั่นเอง  

แนวรับ : น่าจะได้ มานูเอล อคานยี่ หายเจ็บกลับมายืนเป็นกองหลัง เช่นเดียวกับ รูเบน ดิอาส ซึ่งน่าจะผ่านความฟิตเพื่อกลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงร่วมกับ นาธาน อาเก้ ส่วนในรายของ อายเมริก ลาปอร์ก, ไคล์ วอล์คเกอร์, เซร์คิโอ โกเมซ รวมถึง ริโก้ เลวิส เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองเหมือนเช่นเคย

แดนกลาง : ส่อให้ จอห์น สโตนส์ ขยับจากกองหลังขึ้นไปยืนคุมเกมร่วมกับ โรดรี้ ทำให้ คัลวิน ฟิลลิปส์ เตรียมนั่งอยู่ที่ข้างสนามเหมือนเดิม เช่นเดียวกับ โคล พาลเมอร์ ซึ่งไม่น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอยู่แล้ว ส่วนในรายของ แบร์นาร์โด้ ซิลวา อาจจะมีโอกาสเป็นตัวสอดแทรกได้เหมือนกัน แต่ว่าน่าจะได้นั่งพักอยู่ที่ข้างสนามไปก่อน 

แนวรุก : พร้อมให้ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ กลับมาสวมบทเป็นกองหน้าตัวเป้าอย่างแน่นอน เพื่อประสานงานกับ เควิน เดอ บรอยน์ เตรียมได้ทำหน้าที่เป็นเพลย์เมกเกอร์ในฐานะตัวปั้นเกม เชนเดียวกับ อิลคาย กุนโดกาน ส่วนปีกซ้ายพร้อมให้ แจ็ค กรีลิช ลงไปยืนประจำการ โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ ริยาด มาห์เรซ เตรียมลงไปยืนเป็นปีกขวา ทำให้ ฟิล โฟเด้น ไม่น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ

รอบ 3 : ชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-1 (เหย้า)

รอบ 4 : ชนะ เรดดิ้ง 3-1 (เหย้า)

รอบ 5 : ชนะ เวสต์แฮม 3-1 (เหย้า)

รอบ 8 ทีมสุดท้าย : ชนะ ฟูแล่ม 3-1 (เหย้า)

รอบรองชนะเลิศ : เสมอ ไบรท์ตัน 0-0 (สนามกลาง) – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะช่วงดวลจุดโทษตัดสิน 7-6

คาดว่ากุนซือ เอริค เทน ฮาก จะปรับทัพบางตำแหน่ง เพื่อลุ้นเก็บชัยคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยรายการที่ 2 ของฤดูกาลนี้ไปเลย หลังจากที่คว้าแชมป์คาราบาว คัพ มาได้แล้วหนึ่งรายการ และสามารถเข้าป้าย “ท็อปโฟร์” ใน 4 อันดับแรกบนตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกได้ตามเป้าแล้วด้วย แม้จะหมดสิทธิ์ใช้งานนักเตะหลายคน แต่ว่าเป็นพวกหน้าเดิมๆ ที่ต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บต่อไป จึงพร้อมให้พวกแข้งหลักออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเหมือนเช่นเคย

11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 4-2-3-1

ดาบิด เด เคอา, วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ, ราฟาเอล วาราน, ดิโอโก้ ดาโลท์, ลุค ชอว์, คาเซมิโร่, คริสเตียน อีริคเซ่น, จาดอน ซานโช่, มาร์คัส แรชฟอร์ด, บรูโน่ แฟร์นันเดส, อองโตนี่ มาร์กซิยัล

ผู้รักษาประตู : พร้อมให้ ดาบิด เด เคอา ยืนเฝ้าเสาเป็นตัวจริงในฐานะมือหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนในรายของมือสอง นั่นก็คือ ทอม ฮีตัน ยังไม่หายจากโรคเดี้ยง ทำให้ แจ็ค บัตแลนด์ เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองอยู่ที่ข้างสนามเหมือนเดิม

แนวรับ : เตรียมได้เห็น ราฟาเอล วาราน กลับมายืนเป็นกองหลังคู่กับ วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ เนื่องจาก ลิซานโดร มาร์ติเนซ ยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูสภาพร่างกายจากการผ่าตัดข้อเท้า จึงไม่พร้อมลงสนามอย่างแน่นอน ส่วนแบ็กซ้ายพร้อมให้ ลุค ชอว์ ลงไปประจำการ เพราะเป็นตัวเลือกอันดับแรกเหนือกว่า ไทเรลล์ มาลาเซีย นั่นเอง โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ ดิโอโก้ ดาโลท์ ซึ่งพร้อมออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเหนือกว่า อารอน วาน-บิสซาก้า อยู่แล้ว   

แดนกลาง : พร้อมให้ คริสเตียน อีริคเซ่น กลับมายืนคุมเกมร่วมกับ คาเซมิโร่ ทำให้ เฟรด เตรียมกลับไปนั่งเป็นตัวสำรองเหมือนเดิม เช่นเดียวกับ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ส่วนในรายของ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค และ มาร์เซล ซาบิทเซอร์ ยังคงไม่หายจากอาการบาดเจ็บ จึงไม่มีส่วนร่วมกับเกมนี้อย่างแน่นอน    

แนวรุก : หมดสิทธิ์ใช้งาน แอนโทนี่ ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ แต่พร้อมให้ บรูโน่ แฟร์นันเดส สวมบทเป็นเพลย์เมกเกอร์ในฐานะตัวปั้นเกมเหมือนเดิม ส่วนตัวริมเส้นฝั่งซ้ายพร้อมใ มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงไปยืนประจำการ โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ จาดอน ซานโซ่ ซึ่งพร้อมสวมบทเป็นตัวริมเส้นฝั่งขวา และพร้อมให้ อองโตนี่ มาร์กซิยัล ลงไปสวมบทเป็นกองหน้าตัวเป้าด้วยเช่นกัน ทำให้ อเลกฮานโดร การ์นาโช่, เวาท์ เวกฮอร์ทส รวมถึง แอนโธนี่ เอลังก้า เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองอยู่ที่ข้างสนามเพื่อรอโอกาสลงสนามกันต่อไป

สถิติการพบกันเอง

สำหรับคู่นี้เคยดวลแข้งกันในทุกรายการมาแล้วทั้งหมด 166 เกม ปรากฎว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีสถิติอยู่พอสมควร โดยเป็นฝ่ายชนะ 52 เกม เสมอ 48 เกม และแพ้ 66 เกม ส่วนผลการพบกันนัดล่าสุดในศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อปี 2023 ปรากฎว่า “เรือใบสีฟ้า” บุกไปแพ้ 1-2 สำหรับผลการพบกันนัดล่าสุดในศึกเอฟเอ คัพ เกิดขึ้นในเกมรอบ 3 เมื่อปี 2012 ปรากฎว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปชนะ 3-2 

สถิติที่เคยพบกัน 5 เกมหลังสุด

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2021 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-2

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2021 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-2

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2022 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-1

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2022 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 6-3

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2023 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-1

ความน่าจะเป็น

เป็นการเผชิญหน้ากันของ 2 ทีมคู่ปรับร่วมเมืองเดียวกันในศึก “แมนเชสเตอร์ดาร์บี้แมทช์” ตามแบบฉบับบของศึกฟุตบอลถ้วย ซึ่งมีเรื่องของศักดิ์ศรีเป็นเดิมพันอยู่แล้วด้วย โดย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หมายมั่นปั้นมือหวังคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้ เพื่อต่อยอดไปสู่การเข้าป้าย “ทริปเปิ้ลแชมป์” จากการกวาดความสำเร็จในช่วงฤดูกาลนี้ให้ได้ครบทั้ง 3 รายการไปเลย ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หวังคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยบนเกาะอังกฤษให้ได้เป็นรายการที่ 2 ของซีซั่นนี้ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าทั้งสองทีมพร้อมจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามอยู่แล้ว จึงเตรียมได้เห็นเกมฟาดแข้งที่ตื่นเต้นเร้าใจ แต่ “เรือใบสีฟ้า” มีจังหวะทีเด็ดทีขาดที่เหนือกว่าอยู่พอสมควร คาดว่า “ปีศาจแดง” น่าจะเป็นฝ่ายพบกับความพ่ายแพ้ไปแบบหวุดหวิด

ผลที่คาด : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-1

บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับหมวดหมู่อื่นๆ

บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทยสมัครตอนนี้รับตั๋ว5ใบทันที

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *