คาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด VS นิวคาสเซิ่ล
สนาม : เวมบลีย์ สเตเดี้ยม
เวลา : 23.30 น.
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ
รอบ 3 : ชนะ แอสตัน วิลล่า 4-2 (เหย้า)
รอบ 4 : ชนะ เบิร์นลีย์ 2-0 (เหย้า)
รอบ 8 ทีมสุดท้าย : ชนะ ชาร์ลตัน 3-0 (เหย้า)
รอบรองชนะเลิศ นัดแรก : ชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 3-0 (เยือน)
รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 : ชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 2-0 (เหย้า)
คาดว่ากุนซือ เอริค เทน ฮาก จะปรับทัพจากเกมล่าสุดที่เปิดบ้านไล่ต้อน เลสเตอร์ 3-0 ในศึกพรีเมียร์ลีก เพื่อลุ้นเก็บชัยคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้อีกครั้ง หลังห่างหายมานานถึง 6 ปีแล้ว นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่ได้เข้าป้ายแชมป์เมื่อปี 2017 แม้จะหมดสิทธิ์ใช้งานนักเตะหลายคน แต่ยังมีผู้เล่นฝีเท้าดีให้เลือกใช้งานได้อีหลายราย และจะได้ คาเซมิโร่ กลับมาช่วยทีมด้วยเช่นกัน
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 4-2-3-1
ดาบิด เด เคอา, ราฟาเอล วาราน, ลิซานโดร มาร์ติเนซ, ลุค ชอว์, ดิโอโก้ ดาโลต์, เฟรด, คาเซมิโร่, จาดอน ซานโซ่, บรูโน่ แฟร์นันเดส, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เวาท์ เวกฮอร์ทส
ผู้รักษาประตู : เตรียมได้เห็น ดาบิด เด เคอา ยืนเฝ้าเสาเป็นตัวจริงเหมือนเดิม เพราะว่าสวมบทเป็นมือหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนในรายของ ทอม ฮีตัน เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองอยู่ที่ข้างสนามในฐานะมือสองเหมือนเดิม
แนวรับ : พร้อมให้ ราฟาเอล วาราน กับ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ลงไปยืนเป็นกองหลังคูู่กัน ทำให้ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ และ วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองในตำแหน่งนี้ไปก่อน ส่วนแบ็กซ้ายพร้อมให้ ลุค ชอว์ ลงไปยืนประจำการในฐานะตัวเลือกอันดับแรกเหนือกว่า ไทเรลล์ มาลาเซีย โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ ดิโอโก้ ดาโลต์ ซึ่งเป็นตัวเลือกแรกในตำแหน่งแบ็กขวาเหนือกว่า อารอน วาน-บิสซาก้า ด้วยเช่นกัน
แดนกลาง : ยังคงไร้ คริสเตียน อีริคเซ่น ได้รับบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค แต่จะได้ คาเซมิโร่ พ้นโทษแบนทั้งหมด 3 เกมเพื่่อกลับมายืนคุมมแผงมิดฟิลด์ และคาดว่า เฟรด น่าจะได้ลงไปยืนคู่กัน ทำให้ มาร์เซล ซาบิทเซอร์ ส่อหลุดไปนั่งเป็นตัวสำรอง
แนวรุก : ไม่น่าจะมีการเปลี่ยแปลง โดยพร้อมให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงไปสวมบทเป็นปีกซ้าย และยังคงอยู่ในฟอร์มสุดเฉียบจากการยิงประตูได้แบบต่อเนื่องเลย โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ จาดอน ซานโซ่ ในตำแหน่งปีกขวา เนื่องจาก แอนโทนี่ ยังต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บไปก่อน ขณะที่ แอนโธนี่ เอลังก้า รวมถึง อเลฮานโดร การ์นาโช่ เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองตามเดิม ส่วนในรายของ บรูโน่ แฟร์นันเดส เตรียมสวมบทเป็นเพลย์เมกเกอร์ในฐานะตัวปั้นเกมอยู่ด้านหลังของ เวาท์ เวกฮอร์สท ซึ่งพร้อมลงไปยืนค้ำเป็นกองหน้าตัวเป้าในช่วงที่ อองโตนี่ มาร์กซิยัล ยังไม่หายเดี้ยงนั่นเอง
นิวคาสเซิ่ล
เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ
รอบ 2 : ชนะ ทรานเมียร์ 2-1 (เยือน)
รอบ 3 : เสมอ คริสตัล พาเลซ 0-0 (เหย้า) – ชนะดวลจุดโทษตัดสิน 3-2
รอบ 4 : ชนะ บอร์นมัธ 1-0 (เหย้า)
รอบ 8 ทีมสุดท้าย : ชนะ เลสเตอร์ 2-0 (เหย้า)
รอบรองชนะเลิศ นัดแรก : ชนะ เซาแธมป์ตัน 1-0 (เยือน)
รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 : ชนะ เซาแธมป์ตัน 2-1 (เหย้า)
คาดว่ากุนซือ เอ็ดดี้ ฮาว จะปรับทัพจากเกมล่าสุดที่แพ้ ลิเวอร์พูล 0-2 ในศึกพรีเมียร์ลีก เพื่อลุ้นคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้เป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร หลังจากที่เคยทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ตำแหน่งรองแชมป์เมื่อปี 1976 โน้นเลย แม้จะมีนักเตะขาดหายไปหลายคน แต่จะได้แข้งหลักกลับมาช่วยทีมด้วยเช่นกัน
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 4-3-3
ลอริส คาริอุส, สเวน บ็อตแมน, ฟาเบียน ชาร์, แดน เบิร์น, คีแรน ทริปเปียร์, บรูโน่ กิมาเรส, ฌอน ลองสต๊าฟฟ์, โจลินตอน, อัลแล็ง แซงต์ มักซิแม็ง, มิเกล อัลมิรอน, อเล็กซานเดอร์ อิซัค
ผู้รักษาประตู : หมดสิทธิ์ใช้งานมือหนึ่ง นั่นก็คือ นิค โป๊ป ติดโทษแบน เพราะถูกใบแดงไล่ออกจากสนามในศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนในรายของ มาร์ติน ดูบราฟก้า ติดคัพไทจากตอนที่ถูกปล่อยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืมตัวไปใช้งาน และได้ยืนเฝ้าเสาให้ “ปีศาจแดง” ในรายการนี้มาแล้วด้วย ทำให้ ลอริส คาริอุส นายทวารตัวสำรองเตรียมได้รับส้มหล่นลงไปยืนเฝ้าเสาเป็นตัวจริง แม้จะถูกวางตัวให้เป็นมือสามก็ตาม โดยมี มาร์ค กิลเลสพี นายทวารดาวรุ่งนั่งเป็นตัวสำรองอยู่ที่ข้างสนาม
แนวรับ : ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจาก 4 ประสาน โดย สเวน บ็อตแมน ยืนเป็นกองหลังคู่กับ ฟาเบียน ชาร์ ส่วนแบ็กซ้ายยังคงเป็นหน้าที่ของ แดน เบิร์น โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ คีแรน ทริปเปียร์ ในตำแหน่งแบ็กขวา ทำให้ พอล ดัมเมตต์, ยามาล เลวิส, แฮร์ริสัน แอชบี้, ฆาเบียร์ มานควิโญ่ และ ยามาล ลาสเซเลส เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองทั้งหมดเลย ขณะที่ เอมิล คราฟธ์ กับ แมตต์ ทาร์เก็ตต์ ยังไม่หายเดี้ยง
แดนกลาง : พร้อมให้ บรูโน่ กีมาเรส กลับมาลงสนามอีกครั้ง เพราะว่าพ้นโทษแบนเรียบร้อยแล้ว แม้จะชวดใช้งาน โจ วิลล็อค ได้รับบาดเจ็บ แต่ว่า ฌอน ลองสต๊าฟฟ์ และ โจลินตอน ยังคงพร้อมลงไปยนคุมเกมด้วยกัน ส่วนในรายของ ยาค็อบ เมอร์ฟีย์, เอลเลียต อันเดอร์สัน และ ไรอัน ฟราเซอร์ เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองตามเดิม
แนวรุก : เตรียมใช้งาน 3 ประสานเหมือนเดิม โดยพร้อมให้ อัลแล็ง แซงต์ มักซิแม็ง ลงไปสวมบทเป็นปีกซ้าย และจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ มิเกล อัลมิรอน ในตำแหน่งปีกขวา และพร้อมให้ อเล็กซานเดอร์ อิซัค สวมบทเป็นกองหน้สชาตัวเป้าต่อไป ส่วนในรายของ คัลลัม วิลสัน และ แอนโธนี่ กอร์ดอน รวมถึง แมตต์ ริชชี่ เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองอยู่ที่ข้างสนามทั้งหมดเลย
สถิติการพบกันเอง
สำหรับคู่นี้เคยดวลแข้งกันในทุกรายการมาแล้วทั้งหมด 153 เกม ปรากฎว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีสถิติเหนือกว่าอยู่พอสมควร โดยเป็นฝ่ายชนะ 77 เกม เสมอ 40 เกม และแพ้ 36 เกม ส่วนผลการพบกันนัดล่าสุดในศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อปี 2022 ปรากฎว่า “ปีศาจแดง” เปิดบ้านเสมอ 0-0 สำหรับผลการพบกันในสนามแห่งนี้นัดล่าสุดเกิดขึ้นในศึกเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ เมื่อปี 1999 ปรากฎว่า นิวคาสเซิ่ล เป็นฝ่ายแพ้ 0-2
สถิติที่เคยพบกัน 5 เกมหลังสุด
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2020 : นิวคาสเซิ่ล แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-4
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2021 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ นิวคาสเซิ่ล 3-1
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2021 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ นิวคาสเซิ่ล 4-1
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2021 : นิวคาสเซิ่ล เสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2022 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสมอ นิวคาสเซิ่ล 0-0
ความน่าจะเป็น
ยังคงอยู่ในช่วงฟอร์มดีแบบต่อเนื่อง และได้ คาเซมิโร่ พ้นโทษแบนกลับมายืนคุมเกมอีกต่างหาก ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมมุ่งมั่นเพื่อกลับมาประสบความำเร็จให้ได้ หลังห่างหายจากการคว้าแชมป์มานานถึง 6 ปีแล้ว ส่วน นิวคาสเซิ่ล อยู่ในช่วงโชว์ฟอร์มไม่ดี และเกมนี้จะไม่มี นิค โป๊ป นายด่านจอมหนึบอีกต่างหาก แม้จะได้ บรูโน่ กีมาเรส กลับมายืนคุมแดนนกลางก็ตาม คาดว่า “ปีศาจแดง” น่าจะเป็นฝ่ายเก็บชัยแล้วคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ
ผลที่คาด : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ นิวคาสเซิ่ล 2-0
บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทย