เอฟเอ คัพ รอบ 3
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ VS เชลซี
สนาม : อิติฮัด สเตเดี้ยม
เวลา : 23.30 น.
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ผลงาน 5 เกมหลังสุด
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : แพ้ เบรนท์ฟอร์ด 1-2 (เหย้า)
ฟุตบอลนัดกระชับมิตร : ชนะ คิโรน่า 2-0 (เหย้า)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 3-1 (เยือน)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : เสมอ เอฟเวอร์ตัน 1-1 (เหย้า)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ เชลซี 1-0 (เยือน)
คาดว่ากุนซือ “เป๊ป” โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า จะปรับทัพบางตำแหน่งบางตำแหน่ง เพื่อให้พวกแข้งหลักบางรายได้พักบ้าง และเป็นการเปิดทางให้พวกแข้งสำรอง รวมถึงพวกแข้งเด็กได้ลงสนามในบางจุดด้วยเช่นกัน
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 4-3-3
เอแดร์ซอน โมราเอส, นาธาน อาเก้, จอห์น สโตนส์, เซร์คิโอ โกเมซ, ริโก้ เลวิส, คัลวิน ฟิลลิปส์, เควิน เดอ บรอยน์, อิลคาย กุนโดกาน, ริยาด มาห์เรซ, แจ็ค กรีลิช, ฮูเลียน อัลวาเรซ
ผู้รักษาประตู : พร้อมให้ เอแดร์ซอน โมราเอส ยืนเฝ้าเสาเป็นตัวจริงเหมือนเดิม เพราะว่าสวมบทเป๋นมือหนึ่งอยู่แล้วนั่นเอง ส่วนในรายของ สเตฟาน ออร์เตก้า เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองในฐานะมือสองอยู่แล้ว
แนวรับ : รอเช็กสภาพความฟิตของ อายเมริก ลาปอร์ก แต่ไม่น่าจะให้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง จึงน่าจะวาง นาธาน อาเก้ ยืนเป้นกองหลังคู่กับ จอห์น สโตนส์ ส่วนแบ็กซ้ายน่าจะให้ เซร์คิโอ โกเมซ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเพื่อให้ เจา คันเซโล่ ได้พักบ้าง โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับแข้งดาวรุ่ง นั่นก็คือ ริโก้ เลวิส ได้ลงไปสวมบทเป็นแบ็กขวา เพราะน่าจะให้ ไคล์ วอล์กเกอร์ ได้พักอยู่ที่ข้างสนาม เช่นเดียวกับ มานูเอล อคานญี่ แต่หมดสิทธิ์ใช้งาน รูเบน ดิอาส ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บนั่นเอง
แดนกลาง : ไม่น่าจะให้ โคล พาลเมอร์ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอยู่แล้ว ส่วนในรายของ คัลวิน ฟิลลิปส์ มีโอกาสลุ้นลงเล่นตั้งแต่นาทีแรกได้เหมือนกัน เพื่อลงไปประสานงานกับ เควิน เดอ บรอยน์ และ อิลคาย กุนโดกาน พร้อมลงไปยืนคุมเกมร่วมกันทั้งหมดเลย ทำให้ โรดรี้ ส่อได้พักอยู่ที่ข้างสนามไปก่อน
แนวรุก : ส่อดร็อป เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ให้ได้พักอยู่ที่ข้างสนาม เพื่อให้ ฮูเลียน อัลวาเรซ ลงไปยืนเป้นกองหน้าตัวเป้า และน่าจะให้ แจ็ค กรีลิช สวมบทเป็นปีกซ้าย โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ ริยาด มาห์เรซ ในตำแหน่งแบ็กขวา ทำให้ ฟิล โฟเด้น รวมถึง แบร์นาร์โด้ ซิลวา น่าจะต้องนั่งเป็นตัวสำรองทั้งคู่เลย
เชลซี
ผลงาน 5 เกมหลังสุด
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : แพ้ นิวคาสเซิ่ล 0-1 (เยือน)
ฟุตบอลนัดกระชับมิตร : แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-1 (สนามกลาง)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ บอร์นมัธ 2-0 (เหย้า)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : เสมอ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-1 (เยือน)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1 (เหย้า)
คาดว่ากุนซือ เกรแฮม พ็อตเตอร์ จะปรับทัพหลายตำแหน่ง เพราะมีนักเตะได้รับบาดเจ็บหลายคน จึงน่าจะได้เห็นพวกแข้งสำรองออกสตาร์ทเป็นตัวจริงด้วยเช่นกัน แต่ยังใช้งานพวกแข้งหลักได้อีกหลายรายด้วย เพื่อลุ้นคว้าชัยผ่านเข้ารอบไปเลย
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 4-2-3-1
เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า, เทรโวห์ ชาโลบาห์, คาลิดู คูลิบาลี่, มาร์ค คูคูเรย่า, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, เดนิส ซากาเรีย, จอร์จินโญ่, เมสัน เมาท์, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ปิแอร์ เอเมริก โอบาเมยอง, ไค ฮาเวิร์ตซ
ผู้รักษาประตู : พร้อมให้ เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า ลงไปยืนเฝ้าเสาเป็นตัวจริง เพราะได้รับความไว้วางใจให้สวมบทเป็นมือหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนในรายของ เอดูอาร์ เมนดี้ อาจไม่ได้นั่งเป็นตัวสำรองอยู่ที่ข้างสนาม เพราะมีปัญหาเรื่องสภาพความฟิต ทำให้ มาร์คัส เบทติเนลลี่ อาจจะได้สวมบทเป็นมือสองไปก่อน
แนวรับ : น่าจะให้ เทรโวห์ ชาโลบาห์ ลงไปยืนเป็นกองหลังคู่กับ คาลิดู คูลิบาลี่ ทำให้ ติอาโก้ ซิลวา น่าจะได้พักด้วยการนั่งเป็นตัวสำรองอยู่ที่ข้างสนาม ส่วนแบ็กซ้ายพร้อมให้ มาร์ค คูคูเรย่า ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง เนื่องจาก เบน ชิลเวลล์ ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บนั่นเอง โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า พร้อมสวมบทเป็นแบ็กขวาในช่วงระหว่างที่ รีซ เจมส์ เจอดโรคเดี้ยงเล่นงาน ส่วนในรายของ เวสลีย์ โฟฟาน่า หมดสิทธิ์ลงสนามอย่างแน่นอน เพราะต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บต่อไป
แดนกลาง : ไม่มี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ต้องพักรักษาอากาบาดเจ็บต่อไป แม้จะได้ คาร์นีย์ ชุควูเอเมก้า หายเดี้ยงกลับมาช่วยทีมได้แล้ว แต่น่าจะต้องนั่งเป็นตัวสำรองไปก่อน เช่นเดียวกับ มาเตโอ โควาซิช ซึ่งน่าจะได้พักไปก่อน ส่วนในรายของ คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ไม่น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอยู่แล้ว จึงน่าจะให้ จอร์จินโญ่ กลับมายืนคุมเกมร่วมกับ เดนิส ซากาเรีย พร้อมลงไปยืนคุมเกมคู่กันตั้งแต่นาทีแรก
แนวรุก : ส่อให้ เมสัน เมาท์ กลับมาออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในตำแหน่งตัวปั้นเกม และน่าจะให้ ปิแอร์ เอเมริก โอบาเมยอง ลงไปสวมบทเป็นปีกซ้าย โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ในฐานะตำแหน่งปีกขวา ส่วนในรายของ ไค ฮาเวิร์ตซ พร้อมสวมบทเป็นกองหน้าตัวเป้า ทำให้ ฮาคิม ซีเย็ค และ คริสเตียน พูลิซิช เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองไปก่อน แต่หมดสิทธิ์ใช้งาน อาร์มันโด้ โบรย่า ยังต้องพักรักษาโรคเดี้ยงต่อไปเหมือนเดิม
สถิติการพบกันเอง
สำหรับคู่นี้เคยดวลแข้งกันในทุกรายการมาแล้วทั้งหมด 157 เกม ปรากฎว่า เชลซี มีสถิติเป็นรองเพียงเล็กน้อย โดยเป็นฝ่ายชนะ 57 เกม เสมอ 38 เกม และแพ้ 62 เกม ส่วนผลการพบกันนัดล่าสุดในศึกคาราบาว คัพ รอบ 3 เมื่อปี 2022 ปรากฎว่า “สิงโตน้ำเงินคราม” บุกไปแพ้ 0-2 สำหรับผลการพบกันในสนามแห่งนี้นัดล่าสุดเกิดขึ้นในศึกคาราบาว คัพ รอบ 3 เมื่อปี 2022 ปรากฎว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านชนะ 2-0
สถิติที่เคยพบกัน 5 เกมหลังสุด
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2021 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้ เชลซี 1-2
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ ปี 2021 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้ เชลซี 0-1
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2021 : เชลซี แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2022 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ เชลซี 1-0
คาราบาว คัพ รอบ 3 ปี 2022 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ เชลซี 2-0
ความน่าจะเป็น
เพิ่งเจอกันในศึกพรีเมียร์ลีกมาหมาดๆ และเป็นฝ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกไปเก็บชัยเอาไว้ได้แบบหวุดหวิดด้วย จึงน่าจะโรเตชั่นนักเตะบางตำแหน่ง เพื่อให้พวกแข้งหลักได้พักบ้างนั่นเอง ส่วน เชลซี ยังไม่สามารถตามหาฟอร์มเก่งได้เจอเสียที หลังสะกดคำว่าชนะไม่เป็นมาหลายเกมแล้ว คาดว่า “เรือใบสีฟ้า” ซึ่งถือความได้เปรียบในฐานะเจ้าบ้านอยู่แล้ว และทำผลงานในถิ่นของตัวเองได้ค่อนข้างดีอยู่แล้วด้วย จึงน่าจะมีโอกาสเก็บชัยในบ้านของตัวเองเอาไว้ได้เพื่อลุ้นตบเท้าผ่านเข้ารอบกันต่อไป
ผลที่คาด : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ เชลซี 2-0
บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทย