วิบากกรรม “ม้าลาย” เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากเหตุไม่ซื่อตรง

วิบากกรรม ยูเวนตุส เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากเหตุไม่ซื่อตรง

วิบากกรรม “ม้าลาย” เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากเหตุไม่ซื่อตรง

เป็นช่วงฤดูกาลที่เรียกกันตามสำนวนไทยที่ว่า “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” ได้เลย แม้จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องผลงานในสนามที่เคยย่ำแย่ในช่วงออกสตาร์ทจนถึงขั้นตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปแบบหมดสภาพ เพราะได้เรียกฟอร์มเก่งกลับมาจนหวนคืนสู่กลุ่มหัวแถวของลีกสูงสุดเมืองมะกะโรนีได้สำเร็จ แต่ ยูเวนตุส กลับต้องเจอวิบากกรรมจากเรื่องนอกสนามที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องของอันดับบนตารางคะแนนกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ไปแบบเต็มๆ

เนื่องจาก สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี หรือ เอฟไอจีซี ได้ออกแถลงการณ์ยันยืนแล้วว่า ยูเวนตุส ต้องรับโทษจากคำตัดสินของศาลเมืองมะกะโรนีที่ได้สั่งตัดแต้มมากถึง 15 คะแนนเลยทีเดียว เพราะมีหลักฐานระบุว่าได้ตกแต่งบัญชีการเงินเพื่อปลอมแปลงผลประกอบการให้มีตัวเลขที่ออกมาเป็นกำไรในทิศทางบวกเมื่อช่วงระหว่างปี 2018-2020 หรือที่เรียกกันตามภาษาอิตาเลียนว่าเป็นคดี “พลัสวาเลนซ่า” เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องของการละเมิดกฎการเงินของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า หรือที่เรียกันว่า “กฎไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์” ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการถูกจำกัดสิทธิ์ในเรื่องของการจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะ รวมถึงเรื่องของการซื้อขายนักเตะได้เหมือนกัน หากว่าตัวเลขในบัญชีงบดุลของสโมสรมีการระบุว่าได้ใช้จ่ายเงินติดลบแบบเกินตัวจนเข้าสู่ฐานความผิดในข้อหาละเมิดกฎการเงินนั่นเอง

นอกจากนี้ทางอัยการของ สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ได้มีการตรวจสอบเรื่องการซื้อขายนักเตะของ ยูเวนตุส และพบว่าหนึ่งในดีลที่มีความผิดปกติก็คือการย้ายทีมของ อาร์ตูร์ เมโล่ กองกลางชาวบราซิเลียน เมื่อตอนที่ย้ายแบบสลับขั้วกับ มิราเลม ปานิช มิดฟิลด์ทีมชาติบอสเนียในปี 2020 โดยตอนนั้น บาร์เซโลน่า ได้ตั้งค่าตัวการย้ายทีมของ อาร์ตูร์ เอาไว้ที่ตัวเลข 72 ล้านยูโร ส่วน ยูเวนตุส ตั้งค่าตัวการย้ายทีมของ ปานิช เอาไว้ที่ 60 ล้านยูโร เท่ากับว่า ยูเวนตุส จะขาดทุนจากดีลนี้อยู่ที่จำนวน 12 ล้านยูโร แต่ในรายงานงบดุลประจำปีของสโมสรกลับระบุเอาไว้ว่า ยูเวนตุส ได้กำไรจากดีลนี้เป็นเงินจำนวนสูงถึง 42 ล้านยูโรเลยทีเดียว และมีการซื้อขายนักเตะอีกมากมายถึง 41 ดีลที่ถูกระบุว่าเข้าข่ายตกแต่งตัวเลขในบัญชีด้วยเช่นกัน ส่วนในรายของ อาร์ตูร์ ตอนนี้ถูกปล่อยให้ย้ายไปซบ ลิเวอร์พูล ด้วยสัญญายืมตัวจนถึงช่วงจบฤดูกาลนี้ แต่ว่าแทบจะไม่ได้ลงสนามเลยด้วยซ้ำ เพราะต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บแบบซ้ำซากเหมือนเช่นเคย

แม้ว่าพวกผู้บริหารของทัพลูกหนัง “ม้าลาย” จะได้ชิงยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบในช่วงหลังจากที่เรื่องนี้กลายเป็นข่าวอื้อฉาวตั้งแต่เมื่อปลายปีก่อน แต่สุดท้ายต้องชดใช้กรรมจากความผิดที่เกิดขึ้นกันแบบถ้วนหน้า เพราะมีคำสั่งลงโทษแบนพวกผู้บริหารของสโมสรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 11 คนตามเวลาที่ลดหลั่นกันไป โดยเฉพาะ อันเดรีย อันเญลลี่ อดีตประธานสโมสรโดนแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการฟุตบอลเป็นเวลาถึง 2 ปี ส่วนในรายของ พาเวล เนดเวด ตำนานกองกลางทีมชาติสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเคยสวมบทเป็นรองประธานสโมสรมาก่อน จึงโดนแบนเป็นเวลา 8 เดือน ไม่เว้นแม้กระทั่ง ฟาบิโอ ปาราติซี่ ซึ่งเคยสวมบทเป็นผู้อำนวยการกีฬาของ ยูเวนตุส มาก่อน แม้ว่าตอนนี้จะย้ายไปสวมบทเป็นผู้อำนวยการกีฬาของ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ แต่ต้องติดร่างแหไปด้วยจากการโดนคำสั่งลงโทษแบน 2 ปีครึ่งอีกต่างหาก ทั้งนี้บนลงโทษดังกล่าวจะมีผลต่อการทำงานในประเทศอิตาลีเป็นหลัก แต่ สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี เตรียมยื่นเรื่องให้ทาง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า รวมถึง สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า เพื่อให้พิจารณานำบทลงโทษนี้ไปบังคับใช้ในวงการลูกหนังโลกทั้งหมดเลยด้วย

แน่นอนว่า ยูเวนตุส ไม่ยอมรับคำตัดสินดังกล่าว และเตรียมยื่นเรื่องอุทธรณ์ถึงคณะกรรมการโอลิมปิกของอิตาลีกันต่อไป แต่ว่าบทลงโทษเรื่องของการตัดแต้มจะมีผลในทันที ทำให้ทัพลูกหนัง “ม้าลาย” ต้องหล่นจากกลุ่มหัวแถวในอันดับ 3 ลงไปอยู่ตรงตารางคะแนนกัลโช่ เซเรีย อา ไปเลย ซึ่งมีสาเหตุมาจากเรื่องของการ “เล่นไม่ซื่อ” เหมือนอย่างเมื่อครั้งวันวานที่เคยเจอบทลงโทษแบบหนักๆ จากคดีสุดอื้อฉาวมาแล้วด้วย เพราะถ้าย้อนหลังกลับไปเมื่อช่วงฤดูกาล 2005/2006 ตอนนั้น ยูเวนตุส กลายเป็นผู้ต้องหาในคดีล็อบบี้ผู้ตัดสินเพื่อให้เอื้อผลการแข่งขัน หรือที่เรียกกันว่า “กัลโชโปลี” โดยตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกับอีก 4 ทีมลูกหนัง นั่นก็คือ เอซี มิลาน, ลาซิโอ, ฟิออเรนตินา และ เรจจิน่า เพราะมีหลักฐานเป็นซิมโทรศัพท์และเทปเสียงบันทึกการสนทนากันระหว่าง ลูชาโน มอจจี้ ผู้อำนวยการสโมสรในยุคนั้น ซึ่งได้สนทนากับ ปิแอร์ลุยจิ ไปเร็ตโต้ ประธานกรรมการผู้ตัดสินแห่งสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีนั่นเอง ทำให้ “ม้าลาย” ถูกตัดสินลงโทษสถานหนัก เพราะถูกสั่งปรับตกชั้นลงไปอยู่ลีกรองในระดับเซเรีย บี และถูกปรับเงินเป็นจำนวนมหาศาลอีกด้วย แถมยังถูกริบแชมป์ลีกย้อนหลังถึง 2 ฤดูกาลก่อนหน้านั้นอีกต่างหาก แต่ได้เลื่อนชั้นหวนกลับมาปักหลักอยู่บนลีกสูงสุดของประเทศได้สำเร็จจนถึงปัจจุบันเลยด้วย

ส่วนเรื่องของผลงานในสนามของ ยูเวนตุส ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ผาดโผนไม่ต่างจากการนั่งรถไฟเหาะตีลังกาเลยด้วย เพราะว่าเคยโชว์ฟอร์มในช่วงออกสตาร์ทได้แบบย่ำแย่สุดๆ แถมยังกระเด็นตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปแบบหน้าอับอายเหลือเกิน แต่ว่า “ม้าลาย” สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาได้แล้ว ลองไปส่องดูกันว่าเพราะเหตุใดจึงสามารถพลิกฟื้นจากย่ำแย่ให้กลับมาดีได้ตามเหตุผลต่างๆ ทั้งหมด 4 ข้อดังต่อไปนี้เลย เริ่มต้นกันด้วยข้อแรก นั่นก็คือการไว้เนื้อเชื่อใจ มักซิมิเลียโน่ อัลเลกรี่ ให้อยู่ทำหน้าที่คุมทีมต่อไป แม้จะทำผลงานในช่วงออกสตาร์ทได้แบบน่าผิดหวังเหลือเกิน จึงมีเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลให้ปลดโค้ชวัย 55 ปีออกไปเลยดีกว่า แต่ว่าบอร์ดบริหารสโมสรยังคงเชื่อมั่นในตัวของกุนซือชาวอิตาเลียนที่รู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะเคยร่วมงานกันมาแบบยาวนานตั้งแต่รอบแรกในช่วงระหว่างปี 2014–2019 และพาทีมกวาดแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ได้ถึง 5 สมัยติดต่อกันเลยด้วย จึงได้หวนกลับมาคุมทีมเป็นรอบที่ 2 ตั้งแต่เมื่อปี 2021 เป็นต้นมา แม้จะยังไม่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้เหมือนอย่างเมื่อก่อน แต่ว่าเริ่มมีความหวังจากการเห็นแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์บ้างแล้ว

ส่วนข้อที่ 2 เป็นเรื่องของแนวรับ แม้จะมีการปรับเปลี่ยนแผนการเล่นมาใช้งานกองหลัง 3 คนในช่วงหลังแยกทางกับ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กองหลังจอมเก๋าที่ได้ย้ายออกไปตอนหมดสัญญาเมื่อกลางปีก่อน และมีการลงทุนคว้า เบรแมร์ กองหลังยอดเยี่ยมของศึกกัลโช่ เซเรีย อา เมื่อช่วงฤดูกาลที่แล้วมาจาก โตริโน่ อีกหนึ่งรายด้วย แต่กลับทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจเสียเท่าไรนัก เช่นเดียวกับ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ กองหลังจอมเก๋าที่สังขารเริ่มโรยราไปตามกาลเวลา และมีปัญหาบาดเจ็บตามรบกวนอีกด้วย ทำให้กุนซือ มักซิมิเลียโน่ อัลเลกรี่ ตัดสินใจขยับ 2 ผู้เล่นในตำแหน่งแบ็กทั้งสองฝั่ง นั่นก็คือ ดานิโล่ กับ อเล็กซ์ ซานโดร ให้ฮุบเข้ามาช่วยยืนเป็นกองหลัง และทำผลงานได้ดีเกินคาดเสียด้วย

ไปต่อกันที่ข้อที่ 3 นั่นก็คือเรื่องของพวกนักเตะตัวสำรองที่พร้อมพิสูจน์ตัวเองในยามที่ได้รับโอกาสให้ลงสนาม เนื่องจาก ยูเวนตุส ประสบปัญหานักเตะได้รับบาดเจ็บแบบต่อเนื่องเลย จึงต้องปรับเปลี่ยนผู้เล่น 11 คนแรกเกือบทุกเกมเลยด้วย โดยเฉพาะแดนกลางที่หมายมั่นปั้นมือหวังให้ ปอล ป็อกบา เป็นแกนหลักอีกครั้งในช่วงหลังย้ายกลับมาจาก แมนเขสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไม่มีค่าตัว แต่กลับเจอโรคเดี้ยงเล่นงานจนต้องพักรักษาตัวแบบยาวๆ ไปเลย ทำให้ ฟาบิโอ มิเรตติ  มิดฟิลด์ดาวรุ่งวัยเพียง 19 ปีได้รับความไว้วางใจให้ลงสนามไปช่วยยืนคุมเกมอยู่บ่อยๆ และสามารถยืนระดับฝีเท้าจนกลายเป็นหนึ่งในตัวหลักของแดนกลางได้แล้วด้วย

ปิดท้ายด้วยข้อที่ 4 นั่นก็คือพวกแข้งดังเริ่มทะยอยหายเจ็บกลับมาช่วยทีมได้อีกครั้ง เพราะว่าก่อนหน้านี้ ยูเวนตุส หมดสิทธิใช้งานพวกนักเตะฝีเท้าดีหลายคนเลย โดยเฉพาะแนวรุกตัวเก่งอย่าง เฟเดริโก้ เคียซ่า ซึ่งต้องพักรักษาโรคเดี้ยงแบบข้ามปีเลย และยังไม่สามารถใช้งาน อังเคล ดิ มาเรีย ปีกจอมเก๋าที่เพิ่งย้ายเข้ามาได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งรวมถึง ดูซาน วลาโฮวิช เจอโรคเดี้ยงเล่นงานไปอีกหนึ่งรายด้วย จึงต้องมอบหมายให้ มอยส์ คีน กับ อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค สวมบทเป็นกองหน้าเพื่อช่วยกันยิงประตูไปก่อน แต่ว่าตอนนี้ได้นักเตะหลายๆ คนหายป่วยกลับมาได้แบบต่อเนื่องเลย ทำให้ ยูเวนตุส เตรียมกลับมาจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามได้อีกครั้ง เพราะมีผู้เล่นให้เลือกใช้งานได้แบบเต็มที่ และไม่ต้องจำกัดจำเขี่ยเหมือนอย่างช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้อีกต่อไป

นี่คือเหตุผลทั้ง 4 ข้อที่ทำให้ ยูเวนตุส มีชีวิตผกผันจากที่เคยย่ำแย่ตอนช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ให้กลับมาโชว์ฟอร์มแจ่มได้แบบหน้าตาเฉยเลย แต่ว่าทัพลูกหนัง “ม้าลาย” ยังคงเจอวิบากกรรมแบบเดิมๆ ตามเล่นงานอีกครั้ง ซึ่งเกิดจากเหตุที่ “เล่นไม่ซื่อ” จึงต้องเตรียมชดใช้กรรมแบบเคราะห์ซ้ำกรรมซัดกันต่อไป แม้จะไม่หนักหนาจนถึงขั้นถูกปรับตกชั้นเหมือนอย่างเมื่อในอดีตก็ตาม

บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทย

บทความเพิ่มเติม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *