“เลสเตอร์” ย้อนรำลึกทีมชุดสร้างตำนานก่อนถึงวันตกชั้น

เลสเตอร์ ย้อนรำลึกทีมชุดสร้างตำนานก่อนถึงวันตกชั้น

เป็นอีกหนึ่งทีมลูกหนังที่มีความสัมพันธ์กับแฟนบอลในบ้านเรามานานหลายปีแล้ว สำหรับ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ เพราะว่ามีเจ้าของทีมเป็นคนไทยนั่นเอง และเคยไต่เต้าจากจุดต่ำสุดในลีกรองจนสามารถพุ่งทะยานขึ้นไปสร้างตำนานจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้แบบช็อกโลกมาแล้วด้วย แต่น่าเสียดายที่ต้องหล่นจากจุดสูงสุดเพื่อกลับคืนสู่สามัญอีกครั้ง หลังกระเด็นตกชั้นจากศึกพรีเมียร์ลีก และจะต้องไปเริ่มต้นกันใหม่ในเดอะแชมเปี้ยนชิพ หรือลีกระดับดิวิชั่น 2 ของเกาะอังกฤษในช่วงฤดูกาลหน้า เพื่อลุ้นเลื่อนชั้นหวนกลับคืนสู่ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีกันต่อไป

ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2008 เลสเตอร์ เคยไปถึงจุดตกต่ำที่สุดของสโมสรจากการตกชั้นลงไปเล่นในลีก วัน หรือระดับดิวิชั่น 3 ของอังกฤษมาแล้ว แต่สามารถเลื่อนชั้นกลับคืนสู่ลีกระดับดิวิชั่น 2 ได้ภายในหนึ่งฤดูกาล หลังจากนั้น คิง พาวเวอร์ บริษัทของคนไทยได้เข้าไปเทคโอเวอร์เพื่อเป็นเจ้าของสโมสรในช่วงต้นปี 2011 และมีโอกาสได้ลุ้นเลื่อนชั้นขึ้นไปโชว์ฝีเท้าในศึกพรีเมียร์ลีกอยู่หลายฤดูกาลเลยด้วย แต่สุดท้ายกลับพลาดท่าในรอบเพลย์ออฟ ก่อนจะประสบความสำเร็จจากการได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีในฐานะแชมป์เดอะแชมเปี้ยนชิพประจำฤดูกาล 2013/2014 นั่นเอง แม้จะต้องวนเวียนอยู่ในโซนตกชั้นจากการรั้งตำแหน่งบ๊วยในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่สุดท้ายยังสามารถรอดตัวได้แบบหวุดหวิด และต่อยอดไปสู่การสร้างวีรกรรมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2015/2016 ได้แบบหักปากกาเซียนทุกสำนัก โดยตอนนั้นอยู่ภายใต้การคุมทัพของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือจอมเก๋าชาวอิตาเลียนนั่นเอง ทั้งๆ ที่เมื่อช่วงซีซั่นก่อนเป็นเพียงแค่ทีมน้องใหม่ที่ต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นเท่านั้น จึงได้สิทธิ์ไปโชว์ฝีเท้าในถ้วยใบใหญ่สุดของทวีปยุโรป นั่นก็คือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรไปเลย แต่กลับทำผลงานย่ำแย่จนเกือบจะตกชั้นในช่วงซีซั่นถัดมา ทำให้ รานิเอรี่ ต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งกุนซือไปด้วยเลย ส่วนผลงานในถ้วยใบใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรปไปได้ไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย เพราะเป็นฝ่ายแพ้ แอตเลติโก มาดริด นั่นเอง

หลังจากนั้น “จิ้งจอกสยาม” สามารถปักหลักอยู่ตรงกลางตารางคะแนนได้แบบไม่ต้องหนีตกชั้นอีกแล้ว และค่อยๆ ขยับอยู่บนหัวตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกแบบมีลุ้นคว้าตั๋วไปโชว์ฝีเท้าในศึกฟุตบอลสโมสรยุโรปรายการต่างๆ ได้อยู่บ่อยๆ เลยด้วย นับตั้งแต่มอบหมายให้ เบรนแดน รอดเจอร์ส เข้ามาสวมบทเป็นกุนซือในช่วงต้นปี 2019 แถมยังต่อยอดไปสู่การคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 2021 ได้เป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรอีกต่างหาก และสามารถคว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ ได้ด้วย แต่ว่าไม่สามารถขยับเข้าไปเกาะกลุ่ม “ท็อปโฟร์” ใน 4 อันดับแรกเพื่อคว้าตั๋วกลับไปโชว์ฝีเท้าในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เหมือนอย่างที่หวังเอาไว้ ส่วนในช่วงฤดูกาล 2022/2023 กลับทำผลงานได้แบบน่าผิดหวังแบบต่อเนื่อง เพราะประสบปัญหาเรื่องการเงิน จึงไม่ได้ลงทุนซื้อผู้เล่นหน้าเข้ามาเสริมทัพเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น และต้องปลด รอดเจอร์ส ออกจากตำแหน่งกุนซือในช่วงหลังจากที่โชว์ฟอร์มได้ไม่ดีขึ้นเลย แม้จะมีการดึง ดีน สมิธ ให้เข้ามาสวมบทเป็นกุนซือขัดตาทัพ รวมถึง เคร็ก เช็คสเปียร์ ให้เข้ามาช่วยงานอีกแรงหนึ่ง โดยเฉพาะรายหลังที่เคยช่วยกอบกู้สโมสรให้รอดพ้นจากการตกชั้นเมื่อช่วงฤดูกาล 2016/2017 ได้สำเร็จมาแล้วด้วย แต่สุดท้ายกลับต้องดำดิ่งไปสู่การตกชั้นจากการจบด้วยอันดับ 18 ตรงท้ายตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ทำให้ต้องเตรียมไปเริ่มต้นในเดอะแชมเปี้ยนชิพเพื่อไต่เต้ากลับสู่ลีกสูงสุดของอังกฤษกันใหม่ตั้งแต่ช่วงซีซั่นหน้าเป็นต้นไป

นอกจากนี้ เลสเตอร์ ยังอยู่ในภาวะเสี่ยง “ทีมแตก” อีกต่างหาก เพราะได้ประกาศล้างบางด้วยการปล่อยนักเตะในช่วงหลังตกชั้นออกไปทีเดียวถึง 7 รายเลยด้วย โดยส่วนใหญ่เป็นพวกผู้เล่นที่หมดข้อผูกมัดระหว่างกัน และไม่มีการต่อสัญญาฉบับใหม่นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น ยูริ ติเลอมองส์, ชักลาร์ โซยุนชู, ดาเนี่ยล อมาร์ตีย์, นามปาลีส เมนดี้, ไรอัน เบอร์ทรานด์, อโยเซ่ เปเรซ รวมถึง มาเตอุส เตเต้ ซึ่งเตรียมเก็บข้าวของย้ายออกจากถิ่นคิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม ได้เลย และตั้งท่าพร้อมปล่อยนักเตะเพิ่มเติมได้ด้วยเช่นกัน เนื่องจาก “จิ้งจอกสยาม” ต้องการเซฟรายจ่ายในช่วงหลังตกชั้นจากศึกพรีเมียร์ลีกเพื่อไปเริ่มต้นในเกอะแชมเปี้ยนชิพนั่นเอง สำหรับ เตเต้ ได้ยืมตัวมาจาก ชัคตาร์ โดเน็ตส์ท แต่ไม่สามารถช่วยให้ทีมอยู่รอดปลอดภัย จึงตัดสินใจเมินใช้เงื่อนไขซื้อขาดเพื่อดึงมาร่วมทีมแบบถาวร ส่วนในรายของ โซยุนชู เตรียมย้ายไปซบ แอตเลติโก มาดริด แบบไม่มีค่าตัว ซึ่งเป็นไปตามคำยืนยันของกุนซือ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ นั่นเอง ขณะที่อีกหนึ่งดาวเด่น นั่นก็คือ เจมส์ แมดดิสัน มีโอกาสย้ายทีมได้เหมือนกัน เพราะยังคงเป็นนักเตะเนื้อหอมที่ได้รับความสนใจจากหลายๆ สโมสร ซึ่งตกเป็นข่าวกับ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ทีมมหาเศรษฐีแบบต่อเนื่องเลยด้วย จึงสามารถขายด้วยราคาแพงได้อย่างแน่นอน เพื่อจะได้นำเงินมาช่วยจุนเจือฐานะของสโมสร ก่อนจะต่อยอดไปสู่การจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนซื้อผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเสริมทัพเพื่อสร้างทีมไปสู่ยุคใหม่กันต่อไป โดยมีเป้าหมายหลักคือการเลื่อนชั้นกลับคืนสู่ลีกสูงสุดของอังกฤษให้ได้โดยเร็วที่สุด

คราวนี้ลองไปย้อนดูขุนพลแข้งของ เลสเตอร์ จากทีมชุดสร้างตำนานคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาล 2015/2016 เพื่อไปส่องดูว่าตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง โดยนับเฉพาะ 11 นักเตะตัวจริงที่ได้ลงสนามในช่วงซีซั่นนั้นแบบต่อเนื่องตามแผนการเล่นแบบ 4-4-2 จากเมื่อ 7 ปีนั่นเอง เริ่มต้นกันด้วย ผู้รักษาประตู นั่นก็คือ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ซึ่งตอนนี้ย้ายไปเฝ้าเสาให้กับ นีซ ในฝรั่งเศสตั้งแต่ช่วงกลางปี 2022 ไปกันที่คู่กองหลัง 2 คน ไล่ตั้งแต่ โรเบิร์ต ฮูธ ได้ตัดสินใจ “แขวนสตั๊ด” เลิกเล่นฟุตบอลกับ เลสเตอร์ ไปตั้งเเต่ปี 2018 เช่นเดียวกับ เวส มอร์แกน ซึ่งเป็นกัปตันทีมชุดนั้นได้อำลาสังเวียนแข้งไปตั้งแต่่ปี 2021 ตามมาด้วยแบ็กซ้าย นั่นก็คือ คริสเตียน ฟุคส์ เพิ่งประกาศเลิกเล่นฟุตบอลเมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่วนแบ็กขวา นั่นก็คือ แดนนี่ ซิมป์สัน ยังคงเป็นนักเตะไร้สังกัด นับตั้งแต่แยกทางกับ บริสตอล ซิตี้ เมื่อปี 2022

สำหรับคู่กองกลาง 2 คน ไล่ตั้งแต่ เอ็นโกโล่ ก้องเต้ ย้ายไปปักหลักอยู่กับ เชลซี ตั้งแต่ปี 2016 และใกล้หมดสัญญาในช่วงซัมเมอร์นี้อยู่แล้วด้วย ส่วนในรายของ แดนนี่ ดริ้งค์วอเตอร์  ยังคงเป็นนักเตะไร้สังกัด นับตั้งแต่ยกเลิกสัญญากับ เชลซี เมื่อปี 2022 สำหรับปีกขวา นั่นก็คือ ริยาด มาห์เรซ ย้ายไปปักหลักอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตั้งแต่ปี 2018 และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2022/2023 ได้ด้วย ด้านปีกซ้าย นั่นก็คือ มาร์ค อัลไบร์ทตัน ยังคงอยู่กับสโมสรต่อไป แต่ว่าใกล้หมดสัญญาในช่วงกลางปีหน้าเสียแล้ว ตบท้ายด้วยคู่กองหน้า เริ่มต้นกันด้วย ชินจิ โอกาซากิ ยังคงค้าเเข้งอยู่กับ แซงต์ ทรุยด็อง ในเบลเยี่ยมตั้งแต่ปี 2022 และ เจมี่ วาร์ดี้ ยังคงปักหลักอยู่กับสโมสร แต่ว่าใกล้จะหมดสัญญาในช่วงกลางปีหน้าด้วยเช่นกัน ส่วนผู้จัดการทีม นั่นก็คือ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ยังคงสวมบทเป็นกุนซือเพื่อคุมทัพ กายารี่ ในบ้านเกิด แม้ว่าตอนนี้จะมีอายุมากถึง 71 ปีแล้วก็ตาม        

จึงได้แต่หวังว่า เลสเตอร์ จะได้เลื่อนชั้นเพื่อหวนกลับมาโชว์ฝีเท้าในศึกพรีเมียร์ลีกให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับหมวดหมู่อื่นๆ

บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทยสมัครตอนนี้รับตั๋ว5ใบทันที

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *