เหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิตให้ได้สัมผัสถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกเสียที ทำให้ ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะกัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่าได้สมหวังในช่วงหลังจบนัดชิงฟุตบอลโลก 2022 เพราะเป็นฝ่ายเฉือนชนะ ฝรั่งเศส ทีมแชมป์เก่าจากเมื่อ 4 ปีก่อน

เหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิตให้ได้สัมผัสถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกเสียที ทำให้ ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะกัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่าได้สมหวังในช่วงหลังจบนัดชิงฟุตบอลโลก 2022 เพราะเป็นฝ่ายเฉือนชนะ ฝรั่งเศส ทีมแชมป์เก่าจากเมื่อ 4 ปีก่อนในช่วงดวลจุดโทษตัดสิน หลังเสมอกันจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษครบ 120 นาทีแบบสุดมันส์ 3-3 และมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทัพลูกหนัง “ฟ้าขาว” ได้หวนกลับมาคว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 3 ต่อจากปี 1978 และ 1986 นอกจากนี้ดาวเตะวัย 35 ปียังได้จารึกชื่อเป็นเจ้าของสถิติระดับตำนานของศึกฟุตบอลโลกที่น่าสนใจในหลายๆ รายการเลยด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ได้รับเลือกให้คว้ารางวัลลูกฟุตบอลทองคำในฐานะผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ถึง 2 ครั้งต่อจากปี 2014 เมื่อตอนที่ได้รองแชมป์โลกนั่นเอง และได้จารึกชื่อเป็นนักเตะที่ได้ลงสนามในศึกฟุตบอลโลกมากที่สุดถึง 26 เกม โดยทุบสถิติเดิมของ โลธาร์ มัทเธอุส ตำนานกองกลางทีมชาติเยอรมนีที่เคยจารึกเอาไว้ด้วยจำนวน 25 เกม และได้ลงสนามด้วยจำนวนนาทีที่มากที่สุดถึง 2,314 นาที โดยทุบสถิติเดิมของ เปาโล มัลดินี ตำนานแบ็กซ้ายทีมชาติอิตาลีที่ได้จารึกเอาไว้ด้วยจำนวน 2,217 นาทีนั่นเอง

ทำให้ เมสซี่ ได้เติมเต็มความเป็นสุดยอดนักฟุตบอลในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังโลกไปเลยด้วย หากวัดกันในเรื่องความสำเร็จจากการโชว์ฝีเท้าบนสังเวียนแข้ง เพราะได้สัมผัส 3 รางวัลใหญ่ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเกียรติยศสูงสุดของนักเตะอาชีพมาครบหมดแล้ว ไล่ตั้งแต่ แชมป์ฟุตบอลโลกในเกมระดับชาติ, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ หรือปัจจุบันคือ แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในเกมระดับสโมสร รวมถึงรางวัล “บัลลงดอร์” ซึ่งเป็นเกียรติยศแบบส่วนตัวในฐานะนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทวีปยุโรปนั่นเอง ทำให้ดาวเตะวัย 35 ปีได้จารึกชื่อเป็นนักเตะคนที่ 9 ที่ได้เข้าสู่ทำเนียบสุดยอดนักฟุตบอลในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังโลกจากการกวาดทั้ง 3 ความสำเร็จสูงสุดดังกล่าวเหมือนอย่าง 8 ตำนานนักเตะรุ่นพี่ดังต่อไปนี้เลย

เริ่มจาก บ็อบบี ชาร์ลตัน ตำนานกองหน้าทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นคนแรกที่ทำได้จากการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1966 และได้รับเลือกให้คว้ารางวัลบัลลังดอร์ในปีเดียวกัน ก่อนจะตบท้ายด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ในสมัยนั้นร่วมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1968
ส่วนคนที่ 2 นั่นก็คือ ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ตำนานกองหลังทีมชาติเยอรมนีได้แชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1974 และได้รับเลือกให้คว้ารางวัลบัลลังดอร์ถึง 2 สมัยในปี 1972 และ 1976 นอกจากนี้ยังได้ชูถ้วยแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ในสมัยก่อนร่วมกับ บาเบิร์น มิวนิค ถึง 3 สมัยในปี 1974, 1975 และ 1976

ตามติดมาด้วยคนที่ 3 นั่นก็คือ แกร์ด มุลเลอร์ ตำนานกองหน้าทีมชาติเยอรมนีผู้ล่วงลับไปแล้วได้แชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1974 และได้รับเลือกให้คว้ารางวัลบัลลังดอร์ในปี 1970 นอกจากนี้ยังได้ชูถ้วยแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ในสมัยก่อนร่วมกับ บาเบิร์น มิวนิค ถึง 3 สมัย ในปี 1974, 1975 และ 1976

ไปต่อกันที่คนที่ 4 นั่นก็คือ เปาโล รอสซี่ ตำนานกองหน้าทีมชาติอิตาลีผู้ล่วงลับไปแล้วได้แชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1982 และได้รับเลือกให้คว้ารางวัลบัลลังดอร์ในปี 1982 นอกจากนี้ยังได้ชูถ้วยแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ในสมัยก่อนร่วมกับ ยูเวนตุส ในปี 1985

ส่วนคนที่ 5 ได้แก่ ซีเนอดีน ซีดาน ตำนานกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1998 และได้รับเลือกให้คว้ารางวัลบัลลังดอร์ในปี 1998 นอกจากนี้ยังได้ชูถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ร่วมกับ เรอัล มาดริด ในปี 2002

ตามมาด้วยคนที่ 6 นั่นก็คือ ริวัลโด้ ตำนานกองกลางทีมชาติบราซิลได้แชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2002 และได้รับเลือกให้คว้ารางวัลบัลลังดอร์ในปี 1999 นอกจากนี้ยังได้ชูถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ร่วมกับ เอซี มิลาน ในปี 2003

ไปต่อกันที่คนที่ 7 นั่นก็คือ โรนัลดินโญ่ ตำนานกองกลางทีมชาติบราซิลได้แชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2002 และได้รับเลือกให้คว้ารางวัลบัลลังดอร์ในปี 2005 นอกจากนี้ยังได้ชูถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ร่วมกับ บาร์เซโลน่า ในปี 2006 และปิดท้ายด้วย ริคาร์โด้ กาก้า ตำนานกองกลางทีมชาติบราซิลได้แชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2002 และได้รับเลือกให้คว้ารางวัลบัลลังดอร์ในปี 2007 นอกจากนี้ยังได้ชูถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ร่วมกับ เอซี มิลาน ในปี 2007

ส่วน เมสซี่ เคยได้รับเลือกให้คว้ารางวัลบัลลังดอร์มาแล้วถึง 7 สมัยในปี 2009, 2010, 2011, 2012, 2015, 2019 และ 2021 ซึ่งยังคงเป็นสถิติได้รับเลือกให้คว้ารางวัลนี้มากที่สุดอยู่ด้วย และได้ชูถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ร่วมกับ บาร์เซโลน่า มาแล้วถึง 4 สมัยในปี 2006, 2009, 2011 รวมถึง 2015 พร้อมกับตบท้ายด้วยแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งช่วยเติมเต็มความเป็นสุดยอดนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกลูกหนังจากการกวาดทั้ง 3 ความสำเร็จสูงสุดดังกล่าวได้เหมือนอย่างพวกตำนานนักเตะรุ่นพี่ไปด้วยเลย
นอกจากนี้ดาวเตะวัย 35 ปียังเคยผ่านการชูถ้วยแชมป์จากเกมระดับสโมสเมื่อตอนสมัยที่ค้าแข้งกับ บาร์ซ่า ได้ล้มหลามอีกต่างหาก โดยเฉพาะการคว้าแชมป์ลาลีหา สเปน ได้ถึง 10 สมัยเลยทีเดียว รวมถึงแชมป์โคปา เดล เรย์ มากถึง 7 สมัย และต่อยอดไปสู่ในระดับทวีปจากคว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ได้อีก 3 สมัย พร้อมกับก้าวไปสู่ระดับโลกจากการคว้าแชมป์สโมสรโลกได้อีกถึง 3 สมัย นอกจากนี้ยังได้แชมป์ลีก เอิง ฝรั่งเศส ร่วมกับทีมต้นสังกัดปัจจุบัน นั่นก็คือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง จากเมื่อช่วงฤดูกาลก่อนอีกต่างหาก ส่วนในระดับทีมชาติเคยได้แชมป์เยาวชนโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปีเมื่อปี 2005, แชมป์ฟุตบอลชายโอลิมปิกเมื่อปี 2008 และแชมป์โคปา อเมริกา เมื่อปี 2021 ด้วยเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ เมสซี่ ได้ประกาศเอาไว้ว่านัดชิงฟุตบอลโลก 2022 คือการลงสนามในมหกรรมลูกหนังโลกที่จะจัดแข้งกันในช่วงทุกๆ 4 ปีเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต เพราะว่าตอนนี้มีอายุมากถึง 35 ปีแล้วนั่นเอง แต่ดาวเตะเลือดฟ้าขาวได้ยืนยันแล้วว่าจะยังไม่เลิกเล่นเกมระดับชาติอย่างแน่นอน เพราะยังอยากรับใช้บ้านเกิดในฐานะแชมป์โลกต่อไป หลังลบล้างความผิดหวังจากเมื่อ 8 ปีก่อนได้สำเร็จเมื่อตอนที่นำทัพอาร์เจนติน่าผ่านเข้าถึงนัดชิงฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล แต่ต้องพบกับความผิดหวังในท้ายที่สุด เพราะเป็นฝ่ายแพ้ เยอรมนี ในนัดชิงตอนช่วงต่อเวลาพิเศษด้วยสกอร์ 0-1 แม้จะได้รับเลือกให้คว้าตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ แต่ว่าเป็นเพียงแค่รางวัลปลอบใจสำหรับผู้แพ้ในนัดชิงเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เพราะทำได้ดีที่สุดเพียงแค่สวมบท “พระรอง” ในฐานะรองแชมป์โลกเท่านั้นเอง

ทำให้ เมสซี่ หมายมั่นปั้นมือหวังคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 และสามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้สำเร็จ และได้จารึกชื่อเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้ทีมชาติอาร์เจนติน่าได้มากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของศึกฟุตบอลโลกด้วยจำนวน 13 ลูก จึงได้ทุบสถิติเดิมของ กาเบรียล บาติสตูต้า ตำนานดาวยิงรุ่นพี่ร่วมชาติเดียกันที่เคยจารึกเอาไว้ด้วยจำนวน 10 ประตู นอกจากนี้ดาวเตะวัย 35 ปียังได้จารึกชื่อเป็นเจ้าของสถิติที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดในศึกฟุตบอลโลกนับตั้งแต่ที่ได้มีการจดบันทึกตั้งแต่ปี 1966 เป็นต้นมา ซึ่งเทียบเท่ากับผลงานของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานจอมทัพรุ่นพี่ร่วมสายเลือดฟ้าขาวที่ล่วงลับไปแล้วด้วยจำนวน 8 แอสซิสต์เท่ากันพอดีเลย และเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่มีส่วนร่วมกับการยิงประตูในศึกฟุตบอลโลกได้มากที่สุดถึง 21 ลูก โดยแบ่งออกเป็นยิงเอง 13 ลูก และจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมสอยตาข่ายได้อีก 8 แอสซิสต์
นี่คือความยิ่งใหญ่ของ เมสซี่ ในฐานะนักเตะที่ได้เติมเต็มความเป็นสุดยอดผู้เล่นจากการคสว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้แล้วนั่นเอง
บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟุตบอลโลก 2022
บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทย