เกิดอะไรขึ้นกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในช่วงฤดูกาลนี้ คำถามดังกล่าวน่าจะต้องอยู่ในความสงสัยของแฟนบอลหลายคนๆ เพราะทำผลงานได้แบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลย หากเทียบกับฟอร์มการเล่นจากเมื่อช่วงซีซั่นที่แล้ว ซึ่งมีลุ้นกวาด 4 แชมป์จากการลงเล่นในทุกรายการ และคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยติดมือได้ถึง 2 รายการ นั่นก็คือ แชมป์เอฟเอ คัพ รวมถึงแชมป์คาราบาว คัพ นั่นเอง แต่ตอนนี้กลับหมดสิทธิ์ลุ้นป้องกันแชมป์ทั้ง 2 รายการเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าชิงกระเด็นตกรอบแรกๆ ไปหมดเลย เช่นเดียวกับในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งจอดป้ายเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น และไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกจากการที่ยังวนเวียนอยู่ตรงกลางตารางคะแนนเพื่อลุ้นขยับขึ้นไปอยู่บนกลุ่มหัวแถวกันต่อไป
แม้จะอุตส่าห์คว้าชัยจาก “ศึกแดงเดือด” ได้แบบสุดอลังการ ซึ่งเป็นไปตามผลการแข่งขันในศึกพรีเมียร์ลีกนัดที่เปิดบ้านไล่ถล่ม “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมคู่อริตลอดกาลด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 7-0 เลยทีเดียว ทำให้เหล่าสาวก “เดอะค็อป” ต่างพากันเชื่อมั่นว่าทีมรักทีมโปรดสามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาได้แล้ว เพื่อลุ้นขยับขึ้นไปเกาะกลุ่ม “ท็อปโฟร์” ใน 4 อันดับแรกตามเป้าหมายหลักเหมือนอย่างที่คุ้นเคยกันต่อไป หลังจากที่ทำผลงานในช่วงฤดูกาลนี้ได้แบบกระท่อนกระแท่นตามอาการ 3 วันดี 4 วันไข้มาโดยตลอดเลย แต่ “หงส์แดง” ได้หวนกลับคืนสู่วงจรแบบเดิมๆ อีกครั้ง เพราะว่าเคยเกิดอาการ “บ๊วย” ติดคอจากเกมล่าสุดที่พลาดท่าบุกไปแพ้ บอร์นมัธ ทีมท้ายตารางคะแนนที่ต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นไปแบบพลิกล็อกด้วยสกอร์ 0-1 นั่นเอง ทั้งๆ ที่เคยเป็นฝ่ายไล่ยำจากเกมที่เปิดบ้านไล่ถล่มในช่วงออกสตาร์ทซีซั่นนี้ด้วยสกอร์แบบขาดลอยถึง 9-0 มาแล้วด้วย จึงถูกแฟนบอลของทีมอื่นๆ แซวว่าเป็น “โรบินฮู้ด” ไปเสียแล้ว เพราะจะทำผลงานในเกมนัดสำคัญได้ดีจากการเอาชนะทีมใหญ่ๆ ได้อยู่เป็นประจำเลย แต่ว่ามักจะพลาดท่าแพ้ให้กับทีมเล็กๆ ตลอดเลยด้วยเช่นกัน จึงถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “โรบินฮู้ด” ตามชื่อตัวละครเอกในนิทานของอังกฤษที่เป็นวีรบุรุษนอกกฎหมายในคราบของ “โจร” เพราะได้สร้างวีรกรรม “ปล้นคนรวยช่วยคนจน” ไม่ต่างจากผลงานของ ลิเวอร์พูล ที่สามารถเก็บชัยเหนือทีมใหญ่ๆ และนำคะแนนที่ได้รับมาไปแจกจ่ายให้กับพวกทีมเล็กๆ ในช่วงหลังพลาดท่าเสียทีจากความพ่ายแพ้แบบผิดคาดอยู่บ่อยๆ เลยนั่นเอง
หากจะว่าไปแล้ว ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ได้เหมือนกับการขึ้น “รถไฟเหาะตีลังกา” ได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นไปแบบขึ้นๆ ลงๆ ตามผลงานที่ไม่คงเส้นคงวานั่นเอง ถ้าดูจากผลการแข่งขันที่เป็นไปแบบพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดจากคว้าชัยเหนือทีมใหญ่บนหัวตารางคะแนนเพื่อให้กองเชียร์ได้ดีใจแบบสุดเหวี่ยงกันไปเลย ไม่ว่าจะเป็นเกมที่เปิดบ้านเฉือนชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0, บุกไปเฉือนชนะ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ 2-1 รวมถึงการพิชิตชัยเหนือ นิวคาสเซิ่ล ได้แบบเหย้า-เยือนทั้ง 2 เกมเลยด้วย และการเก็บชัยในศึกแดงเดือดจากเกมที่เปิดบ้านไล่ถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์สุดมโหฬารไปเลย แต่ “หงส์แดง” ก็พร้อมลงไปสู่จุดต่ำสุดจากความพ่ายแพ้ให้กับทีมคู่แข่งที่มีชื่อชั้นต่ำกว่า โดยเฉพาะการปราชัยให้กับทีมลูกหนังที่อยู่ในโซนท้ายตารางคะแนนแบบกระชากอารมณ์ของแฟนบอลให้ดำดิ่งไปเลยด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเกมที่บุกไปแพ้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 0-1 และเคยพลาดท่าแพ้ ลีดส์ ยูไนเต็ด คาบ้านของตัวเอง 1-2 รวมถึงเกมล่าสุดที่บุกไปแพ้ บอร์นมัธ แบบบ๊วยติดคอไปเลย นอกจากนี้ยังไม่สามารถเอาชนะ ไบรท์ตัน แบบเหย้า-เยือนทั้ง 2 เกมเลยด้วย ทำให้ ลิเวอร์พูล ทำผลงานนอกบ้านได้ไม่ดีเลยด้วย จึงไม่สามารถขยับขึ้นไปเกาะกลุ่ม “ท็อปโฟร์” ใน 4 อันดับแรกได้เหมือนอย่างที่หวังเอาไว้เสียที แต่ยังมีโอกาสแย่งชิงพื้นที่ 4 อันดับแรกในอีกหลายเกมที่เหลืออยู่ตามโปรแกรมกันต่อไป
หากเอ่ยถึงผลงานในศึกพรีเมียร์ลีกต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มในช่วงฤดูกาลนี้ได้แบบน่าผิดหวังเหลือเกิน และเจอปัญหาต่างๆ รุมเร้าอีกด้วย โดยเฉพาะเรื่องนักเตะได้รับบาดเจ็บกันหลายคนเลย รวมถึงเรื่องแข้งดังนัดกันทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน และมีปัญหาแบบนี้เกือบทุกตำแหน่งอีกต่างหาก ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตู นั่นก็คือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ซึ่งเคยโชว์ฟอร์มเซฟตาข่ายได้แบบเหนียวหนึบ แต่ฤดูกาลนี้กลับโชว์เฟอะฟะให้เห็นอยู่หลายครั้ง จึงเป็นเหตุให้ทีมเสียประตูแบบง่ายๆ ด้วยเช่นกัน ส่วนแนวรับไม่สามารถพึ่งพา เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ได้เหมือนเมื่อก่อน เพราะได้ลดประสิทธิภาพของการเป็นกองหลังจอมแกร่งไปตามอายุขัยที่เพิ่มมากขึ้น แถมยังเจอโรคเดี้ยงเล่นงานจนต้องพักยาวอีกต่างหาก ขณะที่ โจเอล มาทิป, อิบราฮิม่า โกนาเต้ รวมถึง โจ โกเมซ ผลัดกันโชว์ฟอร์มแบบผีเข้าผีออกในเรื่องของเกมรับอยู่แล้ว เช่นเดียวกับแบ็กขวา นั่นก็คือ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงสูญเสียความมั่นใจอย่างรุนแรง เพราะตามหาฟอร์มเก่งไม่เจอเสียที จึงสูญเสียตำแหน่งตัวจริงจากการถูกดร็อปเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยๆ ไปเลยด้วย ส่วนแดนกลางยังคงใช้งาน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่ และ ติอาโก้ อัลคานทาร่า เป็นแกนหลักอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าพลังขับเคลื่อนของทั้ง 3 คนดังกล่าวจะดูลดน้อยถอยลงไปตามอายุที่เยอะมากขึ้นกันทั้งนั้นเลย ส่วนพวกมิดฟิลด์ดาวรุ่งอย่าง ฮาร์วีย์ เอลเลียต รวมถึง สเตฟาน บายเซติช ยังไม่สามารถพึ่งพาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะยังคงต้องใช้เวลาบ่มเพาะประสบการณ์จากการลงสนามกันต่อไปอีกสักพักใหญ่ๆ ขณะที่ นาบี้ เกอิต้า รวมถึง อาร์ตูร์ เมโล่ ยังคงมีปัญหาบาดเจ็บรบกวนแบบซ้ำซาก แต่กลับไม่มีการลงทุนซื้อกองกลางคนใหม่เข้ามาเสริมทัพเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแบบค้านสายตาแฟนบอลเป็นอย่างมากเลยด้วย
สำหรับแนวรุกเคยเป็นจุดแข็งของ ลิเวอร์พูล จากการสอยตาข่ายได้แบบเป็นกอบเป็นกำ แต่ในช่วงฤดูกาลนี้กลับไม่เป็นแบบนั้นเสียแล้ว เพราะว่านับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2023 ปรากฎว่า “หงส์แดง” เพิ่งยิงประตูทีมคู่แข่งได้เพียงแค่ 2 ลูกเท่านั้น จึงไม่สามารถเก็บชัยชนะจากการลงสนาม 5 เกมในทุกรายการอีกต่างหาก แม้จะอ้างว่าเป็นเพราะผู้เล่นในแดนหน้านัดกันหยุดพักรักษาอาการบาดเจ็บหลายคนเลย ไม่ว่าจะเป็น ดิโอโก้ โจต้า, หลุยส์ ดิอาซ รวมถึง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ จึงต้องขยับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ซึ่งถูกวางตัวเป็นกองกลางให้ขึ้นมาช่วยสวมบทเป็นปีกริมเส้นไปก่อน แต่ว่า 2 แนวรุกหน้าใหม่กลับไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาโชว์ได้เหมือนอย่างที่หวังกันเอาไว้ โดยเฉพาะ ดาร์วิน นูนเญซ เจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร จึงถูกแฟนบอลล้อว่าเป็นร่างทรงของ แอนดี้ คาร์โรลล์ อดีตกองหน้าผู้ล้มเหลวของ ลิเวอร์พูล ซึ่งไว้ทรงผมแบบเดียวกันเลยด้วย เช่นเดียวกับ โคดี้ กัคโป เคยสร้างชื่อจากการเป็นดาวเด่นของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในศึกฟุตบอลโลก 2022 จึงได้ย้ายมาร่วมทีมในช่วงเปิดตลาดหน้าหนาว แต่ว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะพึ่งพาได้เหมือนอย่างที่หวังกันเอาไว้ จึงถูกแฟนบอลล้อว่าเป็น ไรอัน บาเบิ้ล อดีตปีกผู้ล้มเหลวของ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นรุ่นพี่ร่วมชาติเดียวกันนั่นเอง ส่วนในรายของ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ทำผลงานดร็อปลงไปไม่สมกับการเป็นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกจากเมื่อช่วงฤดูกาลก่อน นอกจากนี้ยังมีการเอ่ยถึงเรื่อง “อาถรรพ์” ของกุนซือ เจอร์เกน คลอปป์ ในช่วงหลังคุมทัพ ลิเวอร์พูล เข้าสู่ปีที่ 7 เหมือนอย่างที่เคยประสบมาก่อนเมื่อตอนสมัยที่คุม 2 ทีมเก่าในบ้านเกิด นั่นก็คือ ไมนซ์ รวมถึง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งทำผลงานไม่เป็นเหมือนอย่างที่ใจหวังแบบต่ำกว่ามาตรฐานเดิมในช่วงหลังคุมทั้ง 2 สโมสรดังกล่าวเข้าสู่ปีที่ 7 เหมือนกันเลยด้วย ทำให้ “หงส์แดง” ไม่สามารถบินสูงได้เหมือนอย่างในช่วงหลายๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา และต้องวนเวียนอยู่ตรงกลางตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกไปตามเหตุผลต่างๆ ในวันที่หลายๆ อย่างไม่เป็นใจให้เสียเลย
บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทยสมัครตอนนี้รับตั๋ว5ใบทันที