รอยส์” ได้แค่สวมบทพระรองเพื่อรอปลดแอกจาก “เสือใต้”

รอยส์ ได้แค่สวมบทพระรองเพื่อรอปลดแอกจาก เสือใต้

เกือบจะได้ปลดแอกจากใต้ร่มเงาของ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งได้สถาปนาตัวเองเป็น “จอมผูกขาด” แชมป์บุนเดสลีกามานานกว่าหนึ่งทศวรรษอยู่แล้วด้วย แต่สุดท้าย “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต้องพบกับความผิดหวังแบบซ้ำซากจนได้ เพราะไม่สามารถเก็บชัยชนะในเกมนัดสุดท้ายได้ตามเงื่อนไขของการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์ประจำฤดูกาล 2022/2023 เพราะทำได้เพียงแค่ไล่ตีเสมอ ไมนซ์ ในถิ่นของตัวเองด้วยสกอร์ 2-2 แบบที่โดนยิงนำไปก่อนถึง 2 ลูกเลยด้วย จึงเปิดทางให้ทีมคู่ปรับตลอดกาลแซงหน้าเข้าป้าย “เบอร์หนึ่ง” ของวงการลูกหนังเมืองเบียร์ได้เหมือนอย่างที่คุ้นเคยอีกครั้งจากการเก็บชัยในนัดส่งท้ายที่บุกไปเฉือนชนะ โคโลญจน์ 2-1แม้จะลงเอยด้วยการมี 71 คะแนนเท่ากันในช่วงหลังจากที่ลงสนามครบทั้ง 34 เกม แต่ว่าเฉือนกันเพียงแค่เรื่องของจำนวนผลต่างประตูได้เสียที่เหนือกว่าเท่านั้นเอง

ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค สามารถป้องกันแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นสมัยที่ 11 ติดต่อกันไปเลยด้วย ส่วน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยังคงต้องหาวิธีเพื่อหวนกลับคืนสู่บัลลังก์ “เบอร์หนึ่ง” ของวงการลูกหนังเมืองเบียร์กันต่อไป หลังห่างหายมานานกว่าหนึ่งทศววรรษแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่ได้ผงาดแชมป์บุนเดสลีกาเมื่อตอนสมัยที่ เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยังคงทำหน้าที่คุมทัพในช่วงฤดูกาล 2011/2012 โน้นเลย และทำให้ มาร์โก รอยส์ ดาวเตะทีมชาติเยอรมนีกลายเป็นนักสะสมความเศร้าในฐานะผู้อกหักที่ต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาความสำเร็จของ “เสือใต้” กันต่อไป เพราะว่ายังไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศแม้แต่ครั้งเดียว ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2012 “เสือหลือง” ได้ตัดสินใจคว้าตัวแนวรุกวัย 33 ปี ซึ่งเคยเป็นอดีตเด็กปั้นแล้วย้ายไปแจ้งเกิดกับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค เพื่อให้หวนกลับคืนสู่ถิ่นเดิมที่คุ้นเคยอีกครั้ง แม้จะอยู่ปักหลักค้าแข้งกับสโมสรมานานกว่า 10 ปีแล้ว ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆ แบบต่อเนื่องเลย ไม่ว่าจะเรื่องของการย้ายเข้าย้ายออกของพวกดาวเตะหลายๆ คน รวมถึงเรื่องของการเปลี่ยนตัวกุนซือด้วยเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะกำหนดให้ต้องพบกับความผิดหวังมาโดยตลอด เพราะว่า โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่เคยหวนกลับไปคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้อีกเลย นับตั้งแต่ รอยส์ ย้ายมาเข้ามาร่วมทีมนั่นเอง

ย้อนหลังกลับไปในช่วงทศวรรษ 90 รอยส์ ซึ่งถือกำเนิดที่เมืองดอร์ทมุนด์ได้เริ่มต้นเล่นฟุตบอลจากการเป็นเด็กปั้นในทีมเยาวชนประจำถิ่นบ้านเกิดเมืองนอน นั่นก็คือ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อช่วงระหว่างปี 1996-2006 แต่ไม่สามารถก้าวเท้าขึ้นไปแจ้งเกิดกับทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ จึงตัดสินใจย้ายไปเริ่มต้นเป็นนัดฟุตบอลอาชีพกับ ร็อต ไวสส์ อาห์เล่น ในลีกรองช่วงเมื่อปี 2007 หลังจากนั้น โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ได้ดึงตัวมาร่วมทีมในปี 2009 และฉายแววความเป็นยอดดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการลูกหนังเมืองเบียร์ในยุคนั้นออกมาได้แบบเต็มที่เลยด้วย ทำให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ตัดสินใจคว้าตัวกลับมาร่วมทีมในปี 2012 ซึ่งตรงกับความต้องการของดาวเตะชาวเมืองเบียร์ที่อยากจะย้ายกลับมาเล่นให้กับทีมเก่าที่คุ้นเคยอีกสักครั้งหนึ่งอยู่แล้วด้วย แต่ดูเหมือนจะเป็นโชคร้ายของ รอยส์ เพราะว่าย้ายเข้ามาในช่วงที่ “เสือเหลือง” สูญเสียความเป็น “เบอร์หนึ่ง” ของวงการฟุตบอลเยอรมันกลับคืนไปให้กับ บาเยิร์น มิวนิค พอดีเลย และทำได้ดีที่สุดเพียงแค่สวมบท “พระรอง” ในฐานะรองแชมป์อยู่เป็นประจำเลยด้วย

ทั้งนี้ดาวเตะชาวเมืองเบียร์ต้องจำใจเป็นได้เพียงแค่รองแชมป์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์ร่วมกับทัพลูกหนัง “เสือเหลือง” มาแล้วถึง 7 ครั้งเลยทีเดียว และเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียทีให้กับ บาเยิร์น มิวนิค จากการเผชิญหน้ากันในศึกฟุตบอลถ้วยรายการต่างๆ อยู่เป็นประจำเลยด้วย โดยเฉพาะความพ่ายแพ้จากเกมนัดชิง “เจ้าสโมสรยุโรป” เพราะเป็นฝ่ายปราชัยให้กับทีมคู่ปรับตลอดกาลด้วยสกอร์ 1-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ เมื่อปี 2013 ทำให้ รอยส์ ได้พบกับความสำเร็จร่วมกับสโมสรจากการคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยในประเทศเยอรมนีเพียงแค่ 2 รายการ นั่นก็คือ แชมป์เดเอฟเบ โพคาล 2 สมัย รวมถึงแชมป์เดเอฟแอล ซูเปอร์ คัพ หรือที่เรียกกันว่า แชมป์เยอรมัน ซูเปอร์ คัพ อีก 3 สมัย และถือว่าเป็นนักเตะจอมอาภัพได้เหมือนกัน เพราะว่ามักจะประสบปัญหาบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ จนถึงขั้นที่เคยชวดไปรับใช้บ้านเกิดในศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล เพราะเจอโรคเดี้ยงเล่นงานในช่วงก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์นั่นเอง จึงไม่ได้ติดโผทัพลูกหนัง “อินทรีเหล็ก” ชุดคว้าแชมป์โลกเมื่อ 9 ปีก่อนไปแบบน่าเสียดายสุดๆ

แต่ว่า รอยส์ ยังคงพร้อมอยู่ปักหลักค้าแข้งกับทีมต้นสังกัดปัจจุบันต่อไปแบบไม่คิดจะโบกมืออำลาไปไหนเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะสามารถย้ายทีมได้แบบไม่มีค่าตัวในช่วงหลังหมดสัญญาตอนจบฤดูกาลนี้ และตกเป็นข่าวว่าได้รับความสนใจจากบรรดาทีมลูกหนังระดับใหญ่ที่พร้อมจ่ายเงินค่าเหนื่อยก้อนใหญ่เพื่อให้ย้ายไปโชว์ฝีเท้าด้วยนั่นเอง แต่สุดท้ายดาวเตะชาวเมืองเบียร์ได้แสดงความจงรักภักดีกับสโมสรด้วยการต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปอีกหนึ่งปี แถมยังยอมให้ลดค่าเหนื่อยจากที่เคยได้รับในสัญญาฉบับเก่าสูงถึงปีละ 12 ล้านยูโร หรือราวๆ 444 ล้านบาท โดยตอนนี้จะหายไปเกือบครึ่งหนึ่งอยู่ที่ปีละ 7 ล้านยูโร หรือราวๆ 259 ล้านบาท เพราะตั้งใจเอาไว้ว่าอยากจะเลิกเล่นฟุตบอลกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งน่าจะเป็นทีมสุดท้ายในชีวิตค้าแข้งไปด้วยเลย

ส่วน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องตัวผู้เล่นมาโดยตลอด เพราะตัดสินใจปล่อยพวกดาวดังออกไปจากทีมแบบต่อเนื่องเลย ไม่ว่าจะเป็น ชินจิ คากาวะ, ปิแอร์ เอเมริก โอบาเมยอง, จาดอน ซานโซ่, เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ รวมถึงพวกดาวเตะที่ย้ายข้ามฟากไปร่วมทัพ “เสือใต้” อาทิเช่น มาริโอ เกิตเซ่ และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เป็นต้น และมีโอกาสเสีย จูด เบลลิงแฮม ในช่วงซัมเมอร์นี้ได้เหมือนกัน แต่ว่า รอยส์ ยังคงแสดงความจงรักภักดีจากการปักหลักอยู่รับใช้สโมสรต่อไปจนได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นกัปตันทีมตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา และยังคงทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” เพื่อช่วยประคับประคองพวกนักเตะรุ่นน้องสายเลือดใหม่ในทีมชุดปัจจุบันหลายคนเลย ไม่ว่าจะเป็น คาริม อเดเยมี่, ยูสซูฟา มูโกโก้ เป็นต้น แม้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเตะ “กระดูกเปราะ” เพราะมีปัญหาบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยๆ แต่ดาวเตะวัย 33 ปียังคงเดินหน้ายิงประตูได้แบบต่อเนื่อง จึงมีโอกาสขึ้นแท่นเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสรได้เหมือนกัน เพราะตอนนี้ยังคงรั้งอันดับ 2 ตามผลงานที่สอยตาข่ายให้ “เสือเหลือง” ไปแล้วทั้งหมด 161 ประตูจากการลงสนาม 382 เกมในทุกรายการ และเป็นรองอันดับ 1 นั่นก็คือ อัลเฟรด ไปรสส์เลอร์ ตำนานกองหน้าผู้ล่วงลับชาวเยอรมันที่เคยลงสนามรับใช้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในช่วงทศวรรษ 40-50 ซึ่งได้ฝากการสอยตาข่ายเอาไว้ทั้งหมด 177 ประตู จึงไล่ตามหลังอีกเพียงแค่ 16 ลูกเท่านั้นเอง และยังคงมีโอกาสยิงประตูแซงหน้าเพื่อยึดบัลลังก์ดาวซัลโวตลอดกาลของ “เสือเหลือง” ได้ทุกเมื่อเลยด้วย หากไม่ตัดสินใจเก็ยข้าวของย้ายทีมไปที่อื่น หรือประกาศ “แขวนสตั๊ด” เลิกเล่นฟุตบอลไปเสียก่อน

แม้จะเป็นนักสะสมความเศร้าจากความผิดหวังที่ต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของ บาเยิร์น มิวนิค ในฐานะทีมจอมผูกขาดแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาแล้วถึง 11 สมัยติดต่อกัน แต่ว่า รอยส์ ยังคงพร้อมนำทัพ “เสือเหลือง” ลุกขึ้นมาสู้กันต่อในช่วงฤดูกาลหน้า เพื่อจะได้ลุ้นคว้าแชมป์บุนเดสลีกาเป็นครั้งแรกในชีวิตให้ได้เสียที และจะได้ปลดแอกจาก “เสือใต้” ซึ่งเป็นจอมผูกขาดแชมป์บุนเดสลีกามานานกว่าหนึ่งทศวรรษแล้วด้วยเช่นกัน 

บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับหมวดหมู่อื่นๆ

บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทยสมัครตอนนี้รับตั๋ว5ใบทันที

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *