นาโปลี พร้อมย้อนรอยยุค “เสือเตี้ย” เพื่อหวนคืนสู่บัลลังก์แชมป์

นาโปลี พร้อมย้อนรอยยุค

นาโปลี พร้อมย้อนรอยยุค “เสือเตี้ย” เพื่อหวนคืนสู่บัลลังก์แชมป์

ย้อนหลังกลับไปในช่วงกลางทศวรรษ 80 นาโปลี เคยมียุครุ่งเรืองมาก่อนในช่วงหลังจากที่ ดิเอโก้ มาราโดน่า ตำนานดาวเตะทีมชาติอาร์เจนติน่าผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือที่มีสมญานามแบบไทยๆ ว่า “เสือเตี้ย” ได้ย้ายเข้ามาร่วมทัพเมื่อปี 1984 หลังจากนั้น นาโปลี ได้พบกับความสำเร็จแบบต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผงาดคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ได้ถึง 2 สมัยในช่วงฤดูกาล 1986/1987 และ 1989/1990 แถมยังเคยความสำเร็จในเกมระดับสโมสรยุโรปจากการคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ หรือยูฟ่า ยูโรปาลีก ได้ในช่วงฤดูกาล 1988/1989 และคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยในประเทศ นั่นก็คือ แชมป์โคปปา อิตาเลีย ในช่วงฤดูกาล 1986/1987 รวมถึง แชมป์ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ในปี 1990 ได้อีกต่างหาก แต่ว่าหลังจากนั้น มาราโดน่า ต้องจำใจโบกมืออำลา นาโปลี ในช่วงปี 1991 เพราะถูกตรวจพบว่าใช้สารเสพติดประเภทโคเคน จึงถูกลงโทษแบนห้ามลงสนามนานถึง 15 เดือนเลยทีเดียว และเป็นการสิ้นสุดยุครุ่งเรืองของ นาโปลี ไปด้วยเลย เพราะว่าหลังจากนั้นได้เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำจากผลงานในสนามที่ไม่ได้ดีเหมือนเดิม แถมยังประสบปัญหาเรื่องการเงินอีกต่างหาก จึงต้องจำใจทะยอยปล่อยนักเตะฝีเท้าดีในยุคนั้นออกไปแบบต่อเนื่องเลย ไม่ว่าจะเป็น จานฟรังโก โซล่า, ดาเนียล ฟอนเซก้า, ชิโร่ แฟร์ราร่า, กาเรก้า รวมถึง ฟาบิโอ คันนาวาโร่ เป็นต้น ทำให้ นาโปลี ค่อยๆ สิ้นสภาพจากการเป็นทีมลุ้นแชมป์ในระดับหัวแถว เพราะค่อยๆ ลงไปอยู่ตรงตางรางคะแนน และถึงขั้นตกต่ำแบบสุดขีดจากการรั้งตำแหน่งบ๊วยในช่วงหลังจบฤดูกาล 1997/1998 จึงต้องตกชั้นลงไปอยู่ลีกรองระดับเซเรีย บี ไปเลย แถมยังมีปัญหาเรื่องการเงินจนถึงขั้นล้มละลายในปี 2004 ทำให้ถูกสั่งปรับตกชั้นลงไปอยู่ในซีรีส์ ซี หรือระดับดิวิชั่น 3 ไปเลยด้วย

หลังจากนั้น นาโปลี ได้นายทุนที่มีนามว่า ออเรลิโอ เด ลอเรนติส มหาเศรษฐีชาวอิตาเลียนที่่ร่ำรวยจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์เข้ามาช่วยกอบกู้วิกฤติของสโมสรตั้งแต่ปี 2004 จึงสามารถเลื่อนชั้นหวนกลับคืนสู่ลีกสูงสุดของประเทศได้อีกครั้งในปี 2007 และได้อยู่ปักหลักในระดับซีรีส์ อา จนถึงปัจจุบันนี้เลยด้วย ทำให้ นาโปลี ได้ค่อยๆ หวนกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวอีกครั้ง โดยเฉพาะในยุคของกุนซือ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ระหว่างปี 2015-2018 ซึ่งจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ถึง 2 ฤดูกาลเลยด้วย แม้สุดท้ายยังไม่สามารถหวนกลับไปยึดบัลลังก์แชมป์ลีกสูงสุดเมืองมะกะโรนีได้เหมือนอย่างที่หวังเอาไว้เสียที แต่ได้รับรางวัลปลอบใจจากการคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยในประเทศ นั่นก็คือ โคปปา อิตาเลีย ในยุคที่ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ สวมบทเป็นกุนซือในช่วงฤดูกาล 2019/2020 หลังจากนั้นได้มีการแต่งตั้ง ลูชาโน่ สปัลเลตติ กุนซือจอมเก๋าชาวอิตาเลียนให้เข้ามารับงานคุมทีมในปี 2021 และตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2022/2023 ด้วยการปล่อยตัวพวกแข้งหลักที่ได้อยู่ปักหลักรับใช้สโมสรมานานหลายปีออกไปหลายคนเลย

ย้อนหลังกลับไปในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาลนี้ นาโปลี ได้แยกทางกับพวกแข้งหลักในทุกตำแหน่งเลยด้วย ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตูได้ตัดสินใจปล่อย ดาวิด ออสปิน่า นายทวารทีมชาติโคลอมเบียให้ย้ายไปยืนเฝ้าเสากับ อัล นาสเซอร์ ในช่วงหลังหมดสัญญาแบบไม่มีค่าตัว ตามมาด้วยแนวรับได้ตัดสินใจขาย คาลิดู คาลิบาลี่ กองหลังทีมชาติเซเนกัลให้ย้ายไปซบ เชลซี เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินค่าตัวก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง เช่นเดียวกับแดนกลางที่ตัดใจขาย ฟาเบียน รุยซ์ กองกลางดีกรีทีมชาติสเปน เพราะไม่ยอมต่อสัญญาฉบับใหม่นั่นเอง ปิดท้ายด้วยแนวรุกปล่อยกองหน้าฝีเท้าดีออกไปพร้อมกันถึง 3 รายเลย โดยเฉพาะ 2 ดาวยิงจอมเก๋า นั่นก็คือ ลอเรนโซ่ อินซิเญ่ อดีตกองหน้าทีมชาติอิตาลี รวมถึง ดรีส เมอร์เท่นส์ กองหน้าทีมชาติเบลเยี่ยม ซึ่งยังคงเป็นเจ้าของดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสรด้วยจำนวน 148 ประตูนั่นเอง และได้ขาย อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค กองหน้าทีมชาติโปแลนด์ออกไปอีกหนึ่งรายด้วย เพื่อเปิดทางให้มีการถ่ายสายเลือดใหม่ เพราะได้คว้านักเตะฝีเท้าดีเข้ามาเสริมทัพในราคาไม่แพงหลายคนเลย ไม่ว่าจะเป็น คิม มิน-แจ กองหลังทีมชาติเกาหลีใต้ รวมถึง ควิซ่า ควารัตส์เคเลีย ปีกดาวรุ่งพุ่งแรงทีมชาติจอร์เจีย และ โจวานนี่ ซิเมโอเน่ กองหน้าดีกรีทีมชาติอาร์เจนติน่า ซึ่งเป็นลูกชายของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ กุนซือ แอตเลติโก มาดริด นั่นเอง นอกจากนี้ยังได้ยืมตัว จามโคโม ราสปาโดรี่ กองหน้าทีมชาติอิตาลีมาจาก ซาสซูโอโล่ แบบพ่วงเงื่อนไขซื้อขาดเอาไว้ด้วย เพื่อนำมาประสานงานกับพวกนักเตะฝีเท้าดีที่ยังคงอยู่รับใช้สโมสรต่อไป ไม่ว่าจะเป็น ปีโอเตอร์ ซีลินส์กี้ มิดฟิลด์ทีมชาติโปแลนด์, อองเดร-ฟรองค์ แซมโบ อองกีสซ่า กองกลางทีมชาติแคเมอรูน, เฮอร์วิ่ง โลซาโน่ ปีกทีมชาติเม็กซิโก รวมถึง วิคเตอร์ โอซิมเฮน กองหน้าทีมชาติไนจีเรีย

แม้ว่าชื่อเสียงของพวกแข้งใหม่อาจจะดูเหมือนว่าเป็นเพียงแค่นักเตะระดับธรรมดา แต่ว่าพอได้มาเล่นร่วมกันเป็นทีมภายใต้การคุมทัพของ ลูชาโน่ สปัตเลตติ กุนซือจอมเก๋าชาวอิตาเลียนที่เคยผ่านงานคุมทีมลูกหนังมาแบบโชกโชน ปรากฎว่าสามารถโชว์ฟอร์มจากการเล่นแบบเน้น “ทีมเวิร์ก” ได้โดดเด่นกันทุกคนเลย โดยเฉพาะ ควิซ่า ควารัตสเคเลีย ซึ่งฝากผลงานจากการวาดลวดลายในเกมรุกได้อย่างยอดเยี่ยม จึงได้รับการยกย่องจากแฟนบอล นาโปลี ให้มีฝีเท้าเทียบชั้นกับ ดิเอโก้ มาราโดน่า ตำนานจอมทัพทีมชาติอาร์เจนติน่าที่เคยฝากความยิ่งใหญ่กับสโมสรในช่วงปลายทศวรรษ 80 มาก่อน เช่นเดียวกับ คิม มิน-แจ ซึ่งเล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น และกลายเป็นกองหลังเนื้อหอมที่มีข่าวว่าได้รับความสนใจจากหลายๆ สโมสรเหมือนกับ วิคเตอร์ โอซิมเฮน ซึ่งมีข่าวพัวพัวกับพวกทีมใหญ่ๆ จากการเป็นที่หมายปองอยู่ด้วยเช่นกัน ทำให้ นาโปลี สามารถโชว์ฟอร์มในช่วงฤดูกาลนี้ได้แบบร้อนแรงเกินห้ามใจเหลือเกิน เพราะนำโด่งเป็นจ่าฝูงกัลโช่ เซเรีย อา แบบทิ้งห่างทีมคู่แข่งที่ไล่ตามหลังมาแบบไม่เห็นฝั่งมากกว่า 10 คะแนนเลยทีเดียว และมีโอกาสลุ้นยึดบัลลังก์ “เจ้าสโมสรยุโรป” ได้ด้วย หลังทำผลงานในเกมรอบแบ่งกลุ่มยู๔ฟ่้า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้แบบน่าประทับใจ จึงได้ตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ไปด้วยเลย ตอนนี้ นาโปลี ได้เปลี่ยนชื่อสนามเหย้าจากสตาดิโอ ซาน เปาโล มาเป็น สตาดิโอ ดิเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า เพื่อเป็นเกียรติให้กับ “เสือเตี้ย” ตำนานดาวเตะของสโมสรที่เสียชีวิตเมื่อช่วงปลายปี 2020 และมีโอกาสหวนคืนสู่บัลลังก์แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ในช่วงหลังจบฤดูกาลนี้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อย้อนรอยความสำเร็จแบบยุครุ่งเรืองเหมือนตอนที่ มาราโดน่า พาทีมผงาดเข้าป้าย “สคูเด็ตโต้” ครั้งล่าสุดเมื่อ 33 ปีก่อนนั่นเอง หากว่า นาโปลี ไม่พลาดท่าเสียทีแบบวินาศสันตาโรในช่วงที่เหลือของซีซั่นนี้ไปเสียก่อน   

บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซเรียอา

บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทยสมัครตอนนี้รับตั๋ว5ใบทันที

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *