“พ็อตเตอร์” เมื่อเชลซีเลิกทนได้เวลามองหากุนซือใหม่

พ็อตเตอร์ เมื่อเชลซีเลิกทนได้เวลามองหากุนซือใหม่

ยังคงเป็นลีกลูกหนังจอมเชือดกุนซือต่อไป สำหรับ ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแห่งเกาะอังกฤษประจำฤดูกาล 2022/2023 เพราะว่าทีมต่างๆ มีการปลดผู้จัดการทีมแบบต่อเนื่องเลย และได้สร้างสถิติมีการไล่ตะเพิดกุนซือมากที่สุดต่อหนึ่งซีซั่นด้วยจำนวน 12 คนเข้าไปแล้ว นับจนถึง 2 รายล่าสุดที่โดนเด้งเมื่อช่วงคืนวันที่ 2 เมษายนพร้อมกันเลย นั่นก็คือ เบรนดน รอดเจอร์ส ซึ่งกลายเป็นอดีตกุนซือ เลสเตอร์ ในช่วงหลังร่วงลงไปอยู่ตรงโซนตกชั้นในตำแหน่งรองบ๊วย จึงต้องเตรียมดิ้นรนหนีการตกชั้นกันต่อไป ส่วนอีกหนึ่งรายก็คือ เกรแฮม พ็อตเตอร์ ซึ่งต้องจำใจโบกมืออำลา เชลซี เสียแล้ว เพราะทำผลงานได้อย่างย่ำแย่แบบเกินทนจนถึงเกมล่าสุดที่พลาดท่าแพ้ แอสตัน วิลล่า คาถิ่นของตัวเอง 0-2 และกลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้ต้องตกเก้าอี้นายใหญ่แห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ไปด้วยเลย ท่ามกลางรอยยิ้มของแฟนบอล เชลซี ซึ่งอยากจะให้ทีมรักทีมโปรดมีการเปลี่ยนตัวกุนซือมานานแล้ว เพราะเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ได้เป็นคนที่ใช่สำหรับสโมสรนั่นเอง หากดูจากผลงานการคุมทัพในช่วงตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา แต่ว่าบอร์ดบริหารสโมสรกลับเลือกที่จะซื้ออนาคตด้วยการให้โอกาสคุมทีมแบบจนถึงที่สุดจริงๆ ก่อนจะหมดความอดทนจนต้องลงเอยด้วยการแยกทางกันไปเลยดีกว่า

ก่อนหน้านี้ พ็อตเตอร์ เคยสร้างชื่อการปลุกปั้น ไบรท์ตัน ทีมเล็กๆ ที่เคยวนเวียนอยู่ในโซนตกชั้นให้ยกระดับขึ้นมาอยู่ครึ่งบนของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ จึงเป็นเหมือน “แต้มบุญ” ที่ช่วยเกื้อหนุนโค้ชชาวอังกฤษไปด้วยเลย ทำให้ ท็อดด์ โบห์ลี่ เจ้าของทีม เชลซี ตัดสินใจจ่ายเงินค่าฉีกสัญญาก้อนใหญ่ให้กับทีมต้นสังกัดเดิม ซึ่งว่ากันว่าเป็นจำนวนสูงถึง 20 ล้านปอนด์เลยทีเดียว เพื่อให้ก้าวเท้าเข้ามาสวมบทเป็นนายใหญ่แห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อเดือนกันยายนปีก่อน หรือในช่วงหลังจากที่มีการไล่ตะเพิด โธมัส ทูเคิ่ล โค้ชฝีมือดีชาวเยอรมันออกจากตำแหน่งแบบค้านสายตาของแฟนบอลเป็นอย่างมาก ซึ่งว่ากันว่ามีสาเหตุมาจากการขัดใจเจ้าของทีม เพราะไม่ยอมตอบสนองนโยบายของสโมสรในหลายๆ เรื่องตามประสาของคนหัวแข็งนั่นเอง แม้จะเคยฝากผลงานระดับ “มาสเตอร์พีช” เมื่อตอนที่พาทีมก้าวเท้าขึ้นไปยึดบัลลังก์ “เจ้าสโมสรยุโรป” จากการผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2021 ได้สำเร็จก็ตาม ทั้งนี้ เชลซี เคยตัดสินใจเลือกที่จะฝากอนาคตของสโมสรเอาไว้ในมือของกุนซือวัย 47 ปีด้วยการจับเซ็นสัญญาแบบระยะยาวเป็นเวลานานถึง 5 ปีเลยทีเดียว และมีการทุ่มเงินซื้อนักเตะฝีเท้าดีเข้ามาเสริมทัพเพื่อให้เลือกใช้งานได้แบบมากกมายหลายคนเลยด้วย แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นเหมือนอย่างที่วาดฝันเอาไว้ว่าหรูเริ่ด ซึ่งเป็นไปตามที่แฟนบอลได้ปรามาสเอาไว้ว่ามือไม่ถึง และไม่คู่ควรกับการทำหน้าที่คุมทีมใหญ่ๆ เลยด้วยซ้ำ หากดูจากผลงานการคุมทัพ “สิงโตน้ำเงินคราม” ให้เป็นไปแบบ “สาละวันเตี้ยลง” จากที่เคยเกาะกลุ่มอยู่บนหัวตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก แต่ตอนนี้ต้องแปรสภาพกลายเป็นทีมระดับกลางตารางคะแนนไปเสียแล้ว

ทำให้ พ็อตเตอร์ ต้องหยุดสถิติคุมทัพ เชลซี เอาไว้ตัวเลข 31 นัดจากการลงสนามในทุกรายการ โดยพาทีมเก็บชัยได้เพียงแค่ 12 เกม เสมออีก 8 เกม และพบกับความพ่ายแพ้ถึง 11 เกมเลยด้วย แม้จะสามารถนำทัพ “สิงโตน้ำเงินคราม” ให้ก้าวเท้าเดินอยู่บนเส้นทางลุ้นยึดบัลลังก์ “เจ้าสโมสรยุโรป” จากการตบเท้าผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ ซึ่งจะต้องเตรียมเผชิญหน้ากับ เรอัล มาดริด ทีมแชมป์เก่าจากเมื่อฤดูกาลที่แล้วกันต่อไป แต่ว่าไม่สามารถนำมาหักลบกลบหนี้กับผลงานในศึกพรีเมียร์ลีกที่ยังคงอยู่ตรงกลางคะแนนจากการอยู่อันดับ 11 และอยู่ห่างจากพื้นที่ “ท็อปโฟร์” ใน 4 อันดับแรกที่คุ้นเคยมากกว่า 10 คะแนนเลยด้วย แม้ว่าก่อนหน้านี้บอร์ดบริหารสโมสรเลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่งเพื่อไม่มองผลงานในปัจจุบัน เพราะว่าเลือกที่จะมองข้ามไปที่แผนการในอนาคตตามที่วาดหวังเอาไว้มากกว่า

แต่สุดท้ายแต้มบุญของ พ็อตเตอร์ ได้หมดลงเสียแล้ว จึงไม่สามารถรักษาเก้าอี้นายใหม่แห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เอาไว้ได้ เพราะว่า เชลซี เลือกที่จะไม่ทนกับผลงานสุดน่าผิดหวังแบบซ้ำซากอีกต่อไป และมอบหมายให้ บรูโน่ ซัลตอร์ โค้ชชาวสเปนที่เป็นคนสนิทของ พ็อตเตอร์ สวมบทเป็นกุนซือขัดตาทัพจนกว่าจะได้ผู้จัดการทีมคนใหม่นั่นเอง โดยตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงมองหากุนซือคนใหม่กันไปก่อน จึงยังคงตกเป็นข่าวพัวพันกับพวกกุนซือชื่อดังหลายคนเลย และแสดงทีท่าว่าพร้อมเลือกคนที่เคยผ่านงานคุมทีมใหญ่ๆ มาก่อนด้วย หลังจากที่เคยให้โอกาสโค้ชวัย 47 ปีได้สวมบทเป็นนายใหญ่แห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่ได้วางเอาไว้แบบระยะยาวไปเลย เพราะเห็นว่าเคยปลุกปั้น ไบรท์ตัน จากทีมเล็กๆ ที่ต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นให้ก้าวเท้าขึ้นไปอยู่ครึ่งบนของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่สุดท้ายได้พิสูจน์ผลงานให้เห็นแล้วว่า “มือไม่ถึง” เพราะไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมใหญ่ๆ มาก่อนด้วยเช่นกัน จึงอยู่ที่ว่า ท็อดด์ โบห์ลี่ เจ้าของทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” จะเลือกกุนซือคนใหม่ให้เป็นไปตามสเป็คแบบไหนระหว่าง “คนหนุ่ม” หรือ “จอมเก๋า” หากดูจากรายชื่อของบรรดากุนซือที่อยู่ในกลุ่มตัวเลือกจากการรายงานข่าวของสื่อต่างๆ สำหรับนิยามของคำว่า “คนหนุ่ม” ในที่นี่จะหมายถึงเรื่องวัยวุฒิไปตามตัวเลขของอายุที่จะไม่เกิน 45 ปี ส่วนนิยามของคำว่า “จอมเก๋า” ในที่นี่จะหมายถึงพวกกุนซือประสบการณ์ที่มีอายุแตะหลัก 50 ปีแล้วนั่นเอง

เริ่มต้นกันด้วยกลุ่มของคนหนุ่ม ซึ่งมีชื่อของ ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ กุนซือว่างงานชาวเยอรมันเป็นเป้าหมายในลำดับต้นๆ เลยด้วย แม้จะเพิ่งมีอายุเพียง 35 ปีเท่านั้น แต่ว่าเคยผ่านงานคุมทีมระดับยักษ์ใหญ่อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงก่อนตกงานมาแล้วนั่นเอง ส่วนในรายของ โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ กุนซือชาวอิตาเลียนวัย 43 ปีของ ไบรท์ตัน เป็นอีกหนึ่งชื่อที่ติดโผอยู่ในกลุ่มตัวเลือกด้วยเช่นกัน โดยเคยผ่านงานคุมทีมใหญ่ๆ อย่าง ชักเตอร์ โดเน็ตส์ท มาแล้วด้วย ขณะที่ รูเบน อาโมริม โค้ชชาวโปรตุกีสวัย 38 ปีมีชื่อติดโผจากการนำทัพ สปอร์ติ้ง ลิสบอน กลับมาประสบความสำเร็จในบ้านเกิดได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีชื่อของ จอห์น เทอร์รี่ ตำนานกองหลังกัปตันทีม เชลซี ในวัย 42 ปีติดโผจากการรายงานข่าวของสื่อต่างๆ เพราะเห็นว่ายังคงว่างงานอยู่นับตั้งแต่ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทีม แอสตัน วิลล่า เมื่อปี 2021 และได้รับเสียงเชียร์จากแฟนบอลบางส่วนว่าควรได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่คุมทีมเหมือนอย่างที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด อีกหนึ่งตำนานกองกลางของสโมสรที่เคยได้รับการแต่งตั้งให้สวมบทเป็นนายใหญ่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ระหว่างปี 2019-2021 แต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่หวังเอาไว้

ส่วนกลุ่มของจอมเก๋ามีรายชื่อติดโผมากมายหลายคนเลย โดยเฉพาะพวกกุนซือชื่อดังที่ยังคงว่างงานอยู่ ไล่ตั้งแต่ ซีเนอดีน ซีดาน ตำนานจอมทัพทีมชาติฝรั่งเศสวัย 51 ปีที่เคยนำทัพ เรอัล มาดริด ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ถึง 3 สมัยติดต่อกัน และกลายเป็นคนว่างงานมานานเกือบ 2 ปีแล้วด้วย ขณะที่ หลุยส์ เอ็นริเก้ อดีตกุนซือทีมชาติสเปนวัย 52 ปีเคยฝากผลงานระดับ “มาสเตอร์พีซ” เมื่อตอนที่นำทัพ บาร์เซโลน่า เข้าป้าย “ทริปเปิ้ลแชมป์” จากการกวาด 3 ถ้วยใบใหญ่ในช่วงฤดูกาล 2014/2015 ได้ทั้งหมดเลย ส่วนในรายของ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ กุนซือชาวอาร์เจนไตน์วัย 51 ปีเคยสร้างชื่อจากการยกระดับ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ให้ก้าวเท้าขึ้นไปอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์ และเคยผ่านงานคุมทีมใหญ่ๆ อย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง มาก่อนด้วย ด้าน เบรนแดน รอดเจอร์ส โค้ชชาวไอร์แลนด์เหนือวัย 50 ปีที่เพิ่งโดน เลสเตอร์ ไล่ออกมาหมาดๆ มีชื่อติดโผด้วยเช่นกัน เพราะว่าเคยร่วมงานกับ เชลซี เมื่อตอนสมัยที่คุมทีมสำรองในระดับเยาวชนระหว่างปี 2006-2008 มาก่อนนั่นเอง  

นี่คือรายชื่อของเหล่ากุนซือบางส่วนที่พร้อมเปิดตัวเลือกให้ เชลซี ได้ทาบทามมาสวมบทเป็นนายใหม่แห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่ยังคงต้องรอการตัดสินใจของบอร์ดบริหารสโมสรว่าจะเลือกสเป็คแบบไหนระหว่าง “คนหนุ่ม” หรือ “จอมเก๋า” เพื่อให้เข้ามาช่วยกอบกู้ผลงานที่ต้องแปรสภาพเป็นทีมระดับกลางตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกไปเสียแล้วกันต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *