พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ VS ลิเวอร์พูล
สนาม : อิติฮัด สเตเดี้ยม
เวลา : 18.30 น.
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ผลงาน 5 เกมหลังสุดในศึกพรีเมียร์ลีก
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ อาร์เซนอล 3-1 (เยือน)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : เสมอ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-1 (เยือน)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ บอร์นมัธ 4-1 (เยือน)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ นิวคาสเซิ่ล 2-0 (เหย้า)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ คริสตัล พาเลซ 1-0 (เยือน)
คาดว่ากุนซือ “เป๊ป” โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า จะปรับทัพจากเกมล่าสุดที่เปิดบ้านไล่ถล่ม เบิร์นลีย์ 6-0 ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย เพื่อลุ้นเก็บชัยในศึกพรีเมียร์ลีก และจะได้ไล่ตาม “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ทีมจ่าฝูงต่อไป เพราะตอนนี้อยู่อันดับ 2 แข่ง 27 นัด มี 61 คะแนน ไล่ตามหลังทีมอันดับ 1 ห่างถึง 8 คะแนนเลยทีเดียว แม้จะส่อเจอปัญหาไร้ 2 แนวรุก แต่ยังใช้งานพวกแข้งหลักรายอื่นๆ ได้เกือบทั้งหมดเลย
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 3-2-4-1
เอแดร์ซอน โมราเอส, มานูเอล อคานยี่, รูเบน ดิอาส, นาธาน อาเก้, ริโก้ เลวิส, โรดรี้, อิลคาย กุนโดกาน, เควิน เดอ บรอยน์, แจ็ค กรีลิช, ริยาด มาห์เรซ, ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ
ผู้รักษาประตู : พร้อมให้มือหนึ่ง นั่นก็คือ เอแดร์ซอน โมราเอส ยืนเฝ้าเสาเป็นมือหนึ่งเหมือนเดิม ส่วนในรายของ สเตฟาน ออร์เตก้า เตรียมกลับไปนั่งเป็นตัวสำรองในฐานะมือสองอีกครั้ง
แนวรับ : น่าจะให้ มานูเอล อคานยี่ ลงไปยืนเป็นกองหลังคู่กับ รูเบน ดิอาส และ อายเมริก ลาปอร์ก ทำให้ จอห์น สโตนส์, เซร์คิโอ โกเมซ รวมถึง ไคล์ วอล์คเกอร์ เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองไปก่อน
แดนกลาง : ยังคงเป็นหน้าที่ของ โรดรี้ เตรียมลงไปยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวตัดเกม และน่าจะให้ ริโก้ เลวิส แข้งดาวรุ่งลงไปยืนคุมเกมร่วมกัน เพราะน่าจะเป็นตัวเลือกเหนือกว่า คัลวิน ฟิลลิปส์ เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองไปก่อน เช่นเดียวกับ โคล พาลเมอร์ แข้งเด็กปั้นดาวรุ่งไม่น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอยู่แล้ว ส่วนในรายของ แบร์นาร์โด้ ซิลวา น่าจะถูกดร็อปเพื่อให้พัก ขณะที่ อิลคาย กุนโดกาน น่าจะได้ลงไปสวมบทเป็นตัวปั้นเกมร่วมกับ เควิน เดอ บรอยน์ ด้านตัวริมเส้นฝั่งซ้ายน่าจะให้ แจ็ค กรีลิช ลงไปยืนประจำการ โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ ริยาด มาห์เรซ ในตำแหน่งตัวริมเส้นฝั่งขวา เนื่องจาก ฟิล โฟเด้น ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ
แนวรุก : รอเช็กสภาพความฟิตของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกด้วยจำนวน 27 ประตู เพราะเจอโรคเดี้ยงเล่นงานในช่วงพักเบรกทีมชาติ แต่ไม่น่าจะหายเจ็บได้แบบทันเวลา จึงพร้อมให้ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ลงไปสวมบทเป็นกองหน้าตัวเป้าไปเลย
ลิเวอร์พูล
ผลงาน 5 เกมหลังสุดในศึกพรีเมียร์ลีก
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ นิวคาสเซิ่ล 2-0 (เยือน)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : เสมอ คริสตัล พาเลซ 0-0 (เยือน)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-0 (เหย้า)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0 (เหย้า)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : แพ้ บอร์นมัธ 0-1 (เยือน)
คาดว่ากุนซือ เจอร์เกน คลอปป์ จะปรับทัพบางตำแหน่งจากเกมล่าสุดที่บุกไปแพ้ บอร์นมัธ 0-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก เพื่อลุ้นกลับมาคว้าชัยตามล่าพื้นที่ “ท็อปโฟร์” ใน 4 อันดับแรกกันต่อไป โดยตอนนี้อยู่อันดับ 6 แข่ง 26 นัด มี 42 คะแนน ตามหลัง ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ทีมอันดับ 4 อยู่ถึง 7 แต้ม แต่ลงเตะน้อยกว่า 2 นัด แม้จะมีนักเตะได้รับบาดเจ็บอยู่หลายคน แต่ว่าเป็นพวกหน้าเดิมๆ ที่ต้องพักรักษาโรคเดี้ยงอยู่แล้ว ส่วนพวกแข้งหลักยังคงพร้อมออกสตาร์ทเป็นตัวจริงได้เกือบทั้งหมด
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 4-3-3
อลิสซอน เบ็คเกอร์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, โจเอล มาทิป, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฮาร์วีย์ เอลเลียต, โคดี้ กัคโป, โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, ดิโอโก้ โจต้า
ผู้รักษาประตู : ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจาก อลิสซอน เบ็คเกอร์ ซึ่งพร้อมยืนเฝ้าเสาเป็นตัวจริงในฐานะมือหนึ่งเหมือนเดิม ส่วนในรายของ ควีวิน เคลเลเฮอร์ นายด่านมือสองเตรียมนั่งเป็นตัวสำรองต่อไป
แนวรับ : น่าจะให้ โจเอล มาทิป ลงไปยืนเป็นกองหลังคู่กับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ส่วนแบ็กซ้ายพร้อมให้ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ลงไปยืนประจำการเหมือนเช่นเคย โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในตำแหน่งแบ็กขวาตามปกติ ทำให้ อิบราฮิม่า โกนาเต้, นาธาเนียล ฟิลลิปส์, คอสตาส ซิมิคาส, โจ โกเมซ รวมถึง เจมส์ มิลเนอร์ เตรียมนั่งเป็นตัวสแตนบายอยู่ที่ข้างสนามเหมือนเช่นเคย แต่หมดสิทธิ์ใช้งาน คัลวิน แรมซีย์ ยังไม่หมายจากโรคเดี้ยง
แดนกลาง : หมดสิทธิ์ใช้งาน สเตฟาน บายเซติช และ ติอาโก้ อัลคานทาร่า ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ จึงน่าจะให้ ฮาร์วีย์ เอลเลียต ลงไปยืนคุมเกมร่วมกับ ฟาบินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทำให้ นาบี้ เกอิต้า และ เคอร์ติส โจนส์ เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองค่อนข้างแน่ ส่วนในรายของ อาร์ตูร์ เมโล่ ยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาฟิตสมบูรณ์แบบเต็มร้อยอีกครั้ง
แนวรุก : ส่อไร้ ดาร์วิน นูนเญซ ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ และไม่น่าจะฟิตกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง จึงน่าจะให้ ดิโอโก้ โจต้า ลงไปยืนเป็นตัวริมเส้นฝั่งซ้าย โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ พร้อมสวมบทเป็นตัวรุกทางริมเส้นด้านขวา และพร้อมให้ โคดี้ กัคโป ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้าไปเลย ทำให้ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เตรียมนั่งเป็นตัวสแตนบายอยู่ที่ข้างสนามเหมือนเดิม ส่วนในรายของ หลุยส์ ดิอาซ ยังคงต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บไปก่อน
สถิติการพบกันเอง
สำหรับคู่นี้เคยดวลแข้งกันในทุกรายการมาแล้วทั้งหมด 176 เกม ปรากฎว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีสถิติเป็นรองอยู่พอสมควร โดยเป็นฝ่ายชนะ 48 เกม เสมอ 45 เกม และแพ้ 83 เกม ส่วนผลการพบกันนัดล่าสุดในศึกคาราบาว คัพ เมื่อปี 2022 ปรากฎว่า “เรือใบสีฟ้า” เปิดบ้านชนะ 3-2 สำหรับผลการพบกันในสนามแห่งนี้นัดล่าสุดเกิดขึ้นในศึกคาราบาว คัพ เมื่อปี 2022 ปรากฎว่า ลิเวอร์พูล บุกไปแพ้ 2-3
สถิติที่เคยพบกัน 5 เกมหลังสุด
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2022 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสมอ ลิเวอร์พูล 2-2
เอฟเอ คัพ ปี 2022 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้ ลิเวอร์พูล 2-3
คอมมูนิตี้ ชิลด์ ปี 2022 : ลิเวอร์พูล ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2022 : ลิเวอร์พูล ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0
คาราบาว คัพ ปี 2022 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ ลิเวอร์พูล 3-2
ความน่าจะเป็น
เป็นเกมบิ๊กแมทช์ประจำสุดสัปดาห์นี้ได้เลย โดยทั้งสองทีมต้องการเก็บชัยเพื่อเป้าหมายที่ต่างกัน แม้ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะส่อไร้ 2 แนวรุกตัวเก่ง แต่ยังใช้งานพวกแข้งหลักรายอื่นๆ ได้เกือบทั้งหมดเลย ส่วน ลิเวอร์พูล ยังคงมีปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นที่ไม่คงเส้นคงวา และมีปัญหานักเตะได้รับบาดเจ็บอยู่หลายคนด้วยเช่นกัน คาดว่า “เรือใบสีฟ้า” น่าจะอาศัยความได้เปรียบในฐานะเจ้าบ้านเพื่อเก็บชัยได้สำเร้จ
ผลที่คาด : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ ลิเวอร์พูล 2-1
บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทยสมัครตอนนี้รับตั๋ว5ใบทันที