“ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ส่อปรับแดนกลาง เพราะหมดสิทธิ์ใช้งาน ลูก้า โมดริช แต่พร้อมให้ คาริม เบนเซม่า สวมบทเป็นกองหน้าตัวเป้าเพื่อดวลแข้งกับ โอซาซูน่า ในศึกฟุตบอลโคปา เดล เรย์ รอบชิงชนะเลิศ คืนวันที่ 6 พ.ค.นี้
โคปา เดล เรย์ รอบชิงชนะเลิศ
เรอัล มาดริด VS โอซาซูน่า
สนาม : เอสตาดิโอ ลา คาร์ตูฆา
เวลา : 03.00 น.
เรอัล มาดริด
เส้นทางสู่รองชิงชนะเลิศ
รอบ 32 ทีมสุดท้าย : ชนะ คาเซเรโญ่ 1-0 (เยือน)
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : แพ้ บียาร์เรอัล 2-3 (เยือน)
รอบ 8 ทีมสุดท้าย : ชนะต่อเวลา แอตเลติโก มาดริด 3-1 (เหย้า)
รอบรองชนะเลิศ นัดแรก : แพ้ บาร์เซโลน่า 0-1 (เหย้า)
รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 : ชนะ บาร์เซโลน่า 4-0 (เยือน)
คาดว่ากุนซือ คาร์โล อันเชลอตติ จะปรับทัพบางตำแหน่ง เพื่อลุ้นคว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 20 และห่างหายจากการคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ มานานถึง 9 ปีแล้ว นับตั้งแต่หนสุดท้ายที่ได้ชูถ้วยแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 19 เมื่อปี 2014 โน้นเลย จึงพร้อมให้พวกแข้งหลักออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเกือบทั้งหมด แม้จะมีนักเตะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง แต่ใช้งานพวกแข้งดังได้อีกหลายคนเลย
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 4-3-3
ธีโบต์ กูร์ตัวส์, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, เอแดร์ มิลิเทา, ลูคัส บาซเกซ, เอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า, เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้, โทนี่ โครส, โอเรเลียง ชูอาเมนี่, โรดรีโก้ โกเอส, วินิซิอุส จูเนียร์, คาริม เบนเซม่า
ผู้รักษาประตู : พร้อมให้ ธีโบต์ กูร์ตัวส์ ยืนเฝ้าเสาเป็นเหมือนเดิม เพราะได้รับความไว้วางใจให้สวมบทเป็นมือหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนในรายของ อังเดร ลูนิน ยังคงสวมบทเป็นมือสอง จึงเตรียมนั่งเป็นตัวสำรองไปก่อน
แนวรับ : รอเช็กสภาพความฟิตของ ดาวิด อลาบา เพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ แต่ยังคงอยู่ในช่วงฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาฟิตสมบูรณ์แบบเต็มร้อย จึงน่าจะให้ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ลงไปยืนเป็นกองหลังคู่กับ เอแดร์ มิลิเทา ส่วนแบ็กซ้ายพร้อมขยับ เอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า จากตำแหน่งมิดฟิลด์ไปสวมบทเป็นแบ็กซ้ายในช่วงที่ แฟร์ลองด์ เมนดี้ ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บนั่นเอง โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ ลูคัส บาซเกซ ซึ่งน่าจะเป็นตัวเลือกเหนือกว่า นาโช่ แฟร์นันเดซ รวมถึง ดานี่ คาร์บาฆัล เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองไปก่อน เช่นเดียวกับ อัลบาโร่ โอดริโอโซล่า และ เฆซุส บาเยโฆ่ ไม่น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอยู่แล้ว
แดนกลาง : หมดสิทธิ์ใช้งาน ลูก้า โมดริช ยังไม่หายจากโรคเดี้ยง จึงน่าจะได้เห็น เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ ลงไปยืนคุมเกมร่วมกับ โทนี่ โครส และ โอเรเลียง ชูอาเมนี่ ส่วนในรายของ ดานี่ เซบายอส, มาริโอ มาร์ติน รวมถึง เซร์คิโอ อาร์ริบาส เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองเหมือนเช่นเคย
แนวรุก : เตรียมได้เห็น คาริม เบนเซม่า ลงไปยืนเป็นกองหน้าตัวเป้าอย่างแน่นอน เพราะโชว์ฟอร์มสุดเฉียบจากการซัด “แฮตทริก” เหมาคนเดียวถึง 3 ประตูได้จากเกมเมื่อช่วงสิ้นเดือนก่อน ส่วนตัวริมเส้นฝั่งซ้ายพร้อมเป็นหน้าที่ของ วินิซิอุส จูเนียร์ โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ โรดรีโก้ โกเอส ในตำแหน่งตัวริมเส้นฝั่งขวา ทำให้ มาร์โก อเซนซิโอ, มาเรียโน่ ดิอาซ รวมถึง เอแด็ง อาซาร์ เตรียมนั่งเป็นตัวสแตนบายเหมือนอย่างนัดที่แล้ว
โอซาซูน่า
เส้นทางสู่รองชิงชนะเลิศ
รอบแรก : ชนะ ฟูเอ็นเตส 4-1 (เยือน)
รอบ 2 : ชนะ อาร์เนโด้ 3-1 (เยือน)
รอบ 32 ทีมสุดท้าย : ชนะต่อเวลา กิมนาสติก 2-1 (เยือน)
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : เสมอ เรอัล เบติส 2-2 (เยือน) – ชนะดวลจุดโทษตัดสิน
รอบ 8 ทีมสุดท้าย : ชนะต่อเวลา เซบีญ่า 2-1 (เหย้า)
รอบรองชนะเลิศ นัดแรก : ชนะ แอธเลติก บิลเบา 1-0 (เหย้า)
รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 : แพ้ แอธเลติก บิลเบา 0-1 (เยือน) – เสมอต่อเวลาพิเศษ 1-1
คาดว่ากุนซือ ฆาโกบ้า อาร์ราสซาเต้ จะปรับทัพบางตำแหน่ง เพื่อลุ้นคว้าแชมป์รายการนี้เป็นครั้งแรก หลังจากที่เคยทำได้ดีที่สุดจากการเข้าป้ายรองแชมป์เมื่อปี 2005 แม้จะมีนักเตะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดทีมอย่างแน่นอน เพราะใช้งานพวกแข้งหลักได้เกือบทั้งหมดเลย
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 4-3-3
เซร์คิโอ เอร์เรร่า, ฆวน ครูช, อารีดาน เอร์นันเดซ, มานู ซานเชซ, จอน มอนคาโยล่า, มอย โกเมซ, ลูคัส ตอร์โร่, ปาโบล อิบาเนซ, กิเก้ บาร์ฆา, เอเซเกียล อาบีล่า, อันเต้ บูดิเมียร์
ผู้รักษาประตู : น่าจะให้ เซร์คิโอ เอร์เรร่า ลงไปยืนเฝ้าเสาเป็นตัวจริง ส่วนในรายของ ไอตอร์ เฟร์นันเดซ เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองไปก่อน เนื่องจาก โอซาซูน่า มีการโรเตชั่นนายทวารเพื่อให้ผลัดกันลงสนามอยู่เป็นประจำเลย
แนวรับ : พร้อมให้ อารีดาน เอร์นันเดซ ยืนเป็นกองหลังคู่กับ ฆวน ครูช ส่วนแบ็กซ้ายยังคงเป็นหน้าที่ของ มานู ซานเชซ โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ จอน มอนคาโยล่า ในตำแหน่งแบ็กขวา ทำให้ อูไน การ์เซีย, นาโช่ บิดัล, ดาบิด การ์เซีย, รูเบน เปญ่า, ฆอร์เก้ เอร์รานโด้ และ ดิเอโก้ โมเรโน่ เตรียมนั่งเป็นตัวสำรองอยู่ที่ข้างสนามทั้งหมดเลย แต่ยังคงไร้ ดาบิด การ์เซีย ต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บไปก่อน
แดนกลาง : ไม่มี ดาร์โก้ บราซาเน็ช ได้รับบาดเจ็บ จึงพร้อมให้ มอย โกเมซ, ลูคัส ตอร์โร่ และ ปาโบล อิบาเนซ ลงไปยืนคุมเกมร่วมกัน เพราะเป็น 3 ตัวหลักในแผงมิดฟิลด์อยู่แล้ว ส่วนในรายของ ไอมาร์ ออร์ออซ และ รูเบน การ์เซีย ไม่น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง จึงเตรียมนั่งเป็นตัวสำรองอยู่ที่ข้างสนามกันต่อไป
แนวรุก : เตรียมได้เห็น กิเก้ บาร์ฆา สวมบทเป็นตัวริมเส้นฝั่งซ้าย โดยจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ เอเซเกียล อาบีล่า ในตำแหน่งตัวริมเส้นฝั่งขวา ส่วนกองหน้าตัวเป้าส่อให้ อันเต้ บูดิเมียร์ เป็นตัวเลือกอันดับแรกเหนือกว่า กิเก้ การ์เซีย ซึ่งไม่น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง
สถิติการพบกันเอง
สำหรับคู่นี้เคยดวลแข้งกันในทุกรายการมาแล้วทั้งหมด 42 เกม ปรากฎว่า เรอัล มาดริด มีสถิติเหนือกว่าเยอะเลย โดยเป็นฝ่ายชนะ 27 เกม เสมอ 10 เกม และแพ้ 5 เกม ส่วนผลการพบกันนัดล่าสุดในศึกลาลีกา เมื่อปี 2023 ปรากฎว่า “ราชันชุดขาว” บุกไปชนะ 2-0 สำหรับผลการพบกันในรายการนี้นัดล่าสุดเมื่อปี 2014 ปรากฎว่า โอซาซูน่า เป็นฝ่ายแพ้คาบ้าน 0-2
สถิติที่เคยพบกัน 5 เกมหลังสุด
ลาลีกา สเปน ปี 2021 : เรอัล มาดริด ชนะ โอซาซูน่า 2-0
ลาลีกา สเปน ปี 2021 : เรอัล มาดริด เสมอ โอซาซูน่า 0-0
ลาลีกา สเปน ปี 2022 : โอซาซูน่า แพ้ เรอัล มาดริด 1-3
ลาลีกา สเปน ปี 2022 : เรอัล มาดริด เสมอ โอซาซูน่า 1-1
ลาลีกา สเปน ปี 2023 : โอซาซูน่า แพ้ เรอัล มาดริด 0-2
ความน่าจะเป็น
พร้อมจัดผู้เล่นชุดใหญ่อย่างแน่นอน สำหรับ เรอัล มาดริด แม้จะมีนักเตะได้รับบากเจ็บอยู่บ้าง แต่ยังมีสภาพทีมโดยรวมที่ดีมากๆ ส่วน โอซาซูน่า พร้อมสู้แบบถวายหัวเพื่อลุ้นคว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยแรกให้ได้ แต่ด้วยสภาพทีมที่เป็นรองอยู่พอสมควร คาดว่า “ราชันชุดขาว” น่าจะเนฝ่ายเก็บชัยเพื่อคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
ผลที่คาด : เรอัล มาดริด ชนะ โอซาซูน่า 2-0
บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทย