บทสรุป “พรีเมียร์ลีก” รวมความเป็น “ที่สุด” ฤดูกาล 2022/2023

บทสรุป พรีเมียร์ลีก รวมความเป็น ที่สุด ฤดูกาล 2022 -2023

รูดม่านปิดฉากฤดูกาล 2022/2023 กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับเกมฟาดแข้งในลีกลูกหนังขวัญใจมหาชน นั่นก็คือ ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งได้แข่งขันกันครบ 38 เกมตามโปรแกรมเมื่อช่วงสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ลองไปดูเรื่องราวความเป็น “ที่สุด” จากผลงานของทีมต่างๆ ที่ได้จารึกเอาไว้ในช่วงตลอดทั้งซีซั่นที่เพิ่งผ่านพ้นไปกันหน่อยดีกว่า

เริ่มต้นด้วยเรื่องราวความเป็นที่สุดของทีมแชมป์ นั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดจากการยิงประตูได้มากที่สุดด้วยจำนวน 94 ประตู โดยมี เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ กองหน้าตัวเก่งเป็นเจ้าของตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกจากการสอยตาข่ายเป็นสถิติมากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาลถึง 36 ประตูเลยทีเดียว จึงได้รับเลือกให้คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล รวมถึงรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมไปด้วยเลย และเป็นทีมที่มีเกมรับดีที่สุดจากการเสียประตูน้อยที่สุดเพียง 33 ประตูเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้ครองสถิติเป็นทีมที่เก็บชัยได้มากที่สุดถึง 28 เกม แถมยังคว้าชัยได้แบบยาวนานที่สุดถึง 12 เกมติดต่อกันเลยด้วย ทำให้ อาร์เซนอล ต้องเป็นฝ่ายอกหักจากการเข้าป้ายรองแชมป์ แม้จะทีมคนหนุ่มจะอุตส่าห์ทำผลงานได้แบบน่าประทับใจ จึงได้กลับมามีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยด้วย และสามารถนำโด่งจ่าฝูงแบบเป็นเจ้าของสถิติยึดอันดับ 1 บนหัวตารางคะแนนได้แบบยาวนานที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ถึง 247 วันเลยทีเดียว แต่สุดท้ายกลับโดนแซงหน้าในช่วงโค้งสุดท้ายไปแบบชอกซ้ำใจเหลือเกิน ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่เก็บคลีนชีทจากการไม่เสียประตูในเกมที่ลงสนามได้มากที่สุดถึง 17 นัด ทำให้ ดาบิด เด เคอา นายทวารจอมหนึบได้รับเลือกให้คว้ารางวัล “ถุงมือทองคำ” ในฐานะผู้รักษาประตูที่เก็บคลีนชีทจากเกมที่ลงไปยืนเฝ้าเสาได้มากที่สุดตามจำนวนดังกล่าวไปด้วยเลย และสามารถเข้าป้ายอันดับ 3 จึงได้สิทธิ์หวนกลับไปโชว์ฝีเท้าในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เช่นเดียวกับ อาร์เซนอล รวมถึง นิวคาสเซิ่ล ซึ่งจบด้วยอันดับ 4 และเป็นเจ้าของสถิติไร้พ่ายแบบยาวนานที่สุดถึง 17 เกมติดต่อกันเลยด้วย

ขณะที่ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีแนวรุกแบบบ้าระห่ำเหลือเกิน เพราะสามารถยิงประตูไล่ถล่มทีมคู่แข่งได้ด้วยสกอร์ขาดลอยที่สุดจากเกมที่เปิดบ้านไล่ถล่ม บอร์นมัธ แบบยับเยินถึง 9-0 เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังจัดการไล่ถลุงทีมคู่ปรับตลอดกาลจากเกมที่เฝ้ารังไล่ถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์สุดช็อกโลกถึง 7-0 เลยด้วย แต่ว่าทำผลงานในภาพรวมไม่คงเส้นคงวา จึงต้องจำใจจบด้วยอันดับ 5 ได้สิทธิ์ไปเล่นในศึกยูฟ่า ยูโรปาลีก ร่วมกับ ไบรท์ตัน ทีมอันดับ 6 ซึ่งได้สิทธิ์ไปโชว์ฝีเท้าในศึกฟุตบอลสโมสรยุโรปเป็นครั้งแรกของสโมสรด้วยเช่นกัน ส่วน แอสตัน วิลล่า  เป็นอีกหนึ่งทีมที่มีผลงานแบบก้าวกระโดดมากที่สุด แม้จะเคยวนเวียนอยู่ตรงโซนท้ายตารางจนถึงขั้นเป็นทีมรองบ๊วยในช่วงออกสตาร์ท แต่หลังจากที่เปลี่ยนตัวกุนซือมาเป็น อูไน เอเมรี่ จึงค่อยๆ ขยับขึ้นไปอยู่บนตารางคะแนน และจบด้วยอันดับ 7 ได้สิทธิ์ไปโชว์ฝีเท้าในศึกยูฟ่า ยูโรปา คอนเฟเรนซ์ลีก ไปเลย สำหรับทีมที่ทำผลงานได้แบบน่าผิดหวังมากที่สุดคงต้องยกให้เป็น เชลซี ไปแบบไร้คู่แข่ง เพราะมีการทุ่มเงินซื้อผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเสริมทัพมากมายเต็มไปหมด โดยเฉพาะ เอ็นโซ่ แฟร์นันเดซ กองกลางทีมชาติอาร์เจนติน่า ซึ่งย้ายมาจาก เบนฟิก้า ด้วยค่าตัวเป็นสถิติแพงที่สุดของศึกพรีเมียร์ลีกสูงถึง 106 ล้านปอนด์เลยทีเดียว แต่กลับเจอปัญหารุมเร้า รวมถึงเรื่องของการเปลี่ยนตัวกุนซือมากถึง 4 รายเลยด้วย จึงต้องหลุดจากกลุ่มหัวแถวลงไปปักหลักอยู่ตรงกลางตารางคะแนนในอันดับ 12 ซึ่งคล้ายๆ กับ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ มีการเปลี่ยนตัวกุนซือถึง 3 คน ทำให้ต้องจบด้วยอันดับ 8 ชวดคว้าตั๋วไปโชว์ฝีเท้าในศึกฟุตบอลสโมสรยุโรปด้วยเช่นกัน

ไปดูตรงโซนท้ายตารางคะแนนกันบ้าง ปรากฎว่า เซาแธมป์ตัน เป็นเจ้าของสถิติสุดย่ำแย่ เพราะไม่พบกับชัยชนะแบบยาวนานที่สุดถึง 13 เกม และพบกับพ่ายแพ้แบบยาวนานที่สุดถึง 6 เกมติดต่อกันเหมือนกับ เลสเตอร์ เลยด้วย ทำให้ทั้งสองทีมต้องกระเด็นตกชั้นจากศึกพรีเมียร์ลีกไปพร้อมๆ กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นทีมที่เสียประตูมากที่สุดถึง 78 ลูก จึงกลายเป็น 3 อันดับสุดท้ายตรงก้นตารางคะแนนไปเลย เพื่อเปิดทางกับให้ 3 ทีมน้องใหม่ นั่นก็คือ เบิร์นลีย์, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด รวมถึง ลูตัน ทาวน์ ได้เลื่อนชั้นจากเดอะแชมเปี้ยนชิพเพื่อขึ้นมาโชว์ฝีเท้าบนลีกสูงสุดเมืองผู้ดีในช่วงฤดูกาลหน้ากันต่อไป

ทั้งนี้ พรีเมียร์ลีก ถือว่าเป็นลีกลูกหนังที่อุดมไปด้วยนักเตะฝีเท้าดี และสามารถวิ่งสปีดด้วยความเร็วสุดแบบ “เจ้าลมกรด” กันทั้งนั้นเลย จึงสามารถจัดเป็นทีมรวมนักเตะวิ่งเร็วที่สุดในแต่ละตำแหน่งได้ครบทั้ง 11 คนตามแผนการเล่นแบบ 4-4-2 ทั้งนี้ พรีเมียร์ลีก ได้มีการบันทึกสถิติจากตัวเลขการวิ่งสปีดของนักเตะแต่ละคนที่ทำได้ในช่วงฤดูกาลนี้เอาไว้ดังต่อไปนี้เลย เริ่มต้นกันด้วยผู้รักษาประตู แม้จะเป็นตำแหน่งที่ไม่ต้องออกแรงวิ่งมากนัก แต่ กาวิน บาซูนู มือหนึ่งทีมชาติไอร์แลนด์วัย 21 ปีของ เซาแธมป์ตัน ได้ขึ้นแท่นเป็นนายทวารวิ่งเร็วที่สุดในศึกพรีเมียร์ลีก เพราะเคยโชว์สปีดจากการวิ่งออกมาตัดบอลได้ด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ตัวเลข 32.62 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั่นเอง และยังคงต้องช่วยเซฟตาข่ายเพื่อช่วยให้ทีมต้นสังกัดหนีการตกชั้นเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยกันต่อไป ส่วนคู่กองหลัง 2 คน ไล่ตั้งแต่ ไทโรน มิงค์ส กองหลังดีกรีทีมชาติอังกฤษวัย 30 ปีของ แอสตัน วิลล่า ซึ่งทำผลงานได้ดีขึ้นแบบต่อเนื่องเลย จึงมีส่วนช่วยให้ทีมต้นสังกัดได้ลุ้นคว้าโควตาไปโชว์ฝีเท้าในศึกฟุตบอลสโมสรยุโรปสักหนึ่งรายการได้สูงมากขึ้นเรื่อยๆ และเคยโชว์สปีดจากการวิ่งแย่งบอลจากนักเตะของทีมคู่แข่งฝั่งตรงข้ามได้ด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ตัวเลข 34.98 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ด้าน คริสตอฟเฟอร์ อาเยอร์ กองหลังทีมชาตินอร์เวย์วัย 25 ปีของ เบรนท์ฟอร์ด ยังคงเป็นเจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรเมื่อตอนที่ย้ายมาจาก เซลติก ในปี 2021 ด้วยค่าตัว 13.5 ล้านปอนด์  และเคยโชว์สปีดจากการวิ่งแย่งบอลจากนักเตะของทีมคู่แข่งฝั่งตรงข้ามได้ด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ตัวเลข 35.53 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปต่อกันที่แบ็กซ้าย นั่นก็คือ คีแรน เทียร์นีย์ แบ็กซ้ายทีมชาติสกอตแลนด์วัย 25 ปีของ อาร์เซนอล แม้จะต้องจำใจนั่งเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยๆ แต่เคยโชว์สปีดจากการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ตัวเลข 35.99 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนแบ็กขวาเป็นของ ดิโอโก้ ดาโลต์ แบ็กขวาทีมชาติโปรตุเกสวัย 24 ปีของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยโชว์สปีดจากการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ตัวเลข 35.76 กิโลเมตรต่อชั่วโมง    

สำหรับคู่กองกลาง 2 คน ได้แก่ เดนิส ซากาเรีย มิดฟิลด์ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์วัย 26 ปีของ เชลซี ซึ่งยืมตัวมาจาก ยูเวนตุส นั่นเอง แม้จะต้องนั่งเป็นตัวสำรองเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เคยโชว์สปีดจากการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ตัวเลข 36.09 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในรายของ มาเธอุส นูเนส มิดฟิลด์ทีมชาติโปรตุเกสวัย 24 ปีของ วูล์ฟแฮมป์ตัน ซึ่งเป็นเจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ย้ายมาจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่อช่วงกลางปีก่อนด้วยมูลค่า 38 ล้านปอนด์  และเคยโชว์สปีดจากการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ตัวเลข 36.32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปต่อกันที่ปีกซ้าย นั่นก็คือ แอนโธนี่ กอร์ดอน ปีกดาวรุ่งชาวอังกฤษวัย 22 ปีของ นิวคาสเซิ่ล ซึ่งย้ายมาจาก เอฟเวอร์ตัน ในช่วงก่อนปิดตลาดหน้าหนาวเมื่อตอนสิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเคยโชว์สปีดจากการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเมื่อตอนที่ยังอยู่กับทีมต้นสังกัดเก่าอยู่ที่ตัวเลข 36.61 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่ปีกขวาเป็นของ มิไคโล มูดริก ปีกทีมชาติยูเครนวัย 22 ปีของ เชลซี ซึ่งย้ายมาจาก ชัคตาร์ โดเน็คสท ด้วยมูลค่าสูงถึง 89 ล้านปอนด์ แม้จะยังไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาโชว์ได้เหมือนอย่างที่หลายๆ คนคาดหวังเอาไว้ แต่เคยโชว์สปีดจากการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ตัวเลข 36.63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ปิดท้ายด้วยคู่กองหน้าอีก 2 คน นั่นก็คือ ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าทีมชาติอุรุกวัยวัย 23 ปีของ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นเจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ย้ายมาจาก เบนฟิก้า เมื่อช่วงกลางปีก่อนด้วยมูลค่าสูงถึง 85 ล้านปอนด์นั่นเอง แม้จะงัดฟอร์มยอดดาวยิงออกมาโชว์ไม่ได้เสียที แต่เคยโชว์สปีดจากการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ตัวเลข 36.53 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตบท้ายด้วย เบรนแนน จอห์นสัน กองหน้าทีมชาติเวลส์วัย 21 ปีของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งยังคงต้องหนีการตกชั้นเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยกันต่อไป โดยเคยโชว์สปีดจากการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ตัวเลข 36.7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงขึ้นแท่นเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไปก่อนจนกว่าจะมีใครโชว์สปีดได้ด้วยความเร็วสูงกว่าเพื่อจะได้แซงหน้าขึ้นไปยึดอันดับ 1 ในเรื่องของ “เจ้าลมกรด” บนสังเวียนแข้งได้ในช่วงที่เหลือของซีซั่นนี้นั่นเอง

นี่คือเรื่องราวความเป็น “ที่สุด” ของศึกพรีเมียร์ลีกจากผลงานของทีมต่างๆ ที่จารึกเอาไว้ในความทรงจำตลอดทั้งฤดูกาล 2022/2023 ที่เพิ่งพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับหมวดหมู่อื่นๆ

บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทยสมัครตอนนี้รับตั๋ว5ใบทันที

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *