หมายมั่นปั้นมือหวังกลับมาประสบความสำเร็จให้ได้อีกครั้ง เพราะห่างหายจากการคว้าถ้วยแชมป์มานานถึง 15 ปีแล้ว แม้จะมีการทุ่มเงินซื้อนักเตะฝีเท้าดีเข้ามาเสริมทัพแบบ “หว่านพืชหวังผล” ตามนโยบายของ ดาเนี่ยล เลวี่ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษที่ได้สวมบทเป็นประธานสโมสรมานานถึง 22 ปีแล้วด้วย เพื่อหวังยกระดับของสโมสรให้ขึ้นไปอยู่ในกลุ่มแชมป์แบบเต็มตัวไปเลยนั่นเอง แต่ตอนนี้ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ยังไม่สามารถก้าวข้ามเงาของตัวเองที่ยังคงเป็นได้เพียงแค่หนึ่งในทีมระดับหัวแถวเหมือนเดิม
เพราะว่ายังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้เสียที และต้องพบกับฤดูกาลแห่งความวางเปล่าจากการหมดลุ้นความสำเร็จในช่วงฤดูกาลนี้เรียบร้อยแล้ว หลังกระเด็นตกรอบฟุตบอลถ้วยครบทั้ง 3 ทุกรายการ ไล่ตั้งแต่จอดป้ายรอบ 3 ในศึกคาราบาว คัพ, ร่วงรอบ 5 ในศึกเอฟเอ คัพ และตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยฝีเท้าของ เอซี มิลาน ไปด้วยเลย ส่วนในศึกพรีเมียร์ลีกแทบไม่ต้องพูดถึงเรื่องลุ้นแชมป์ เพราะเหลือเพียงแค่การสานต่อภาระกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสุดท้าย นั่นก็คือการลุ้นเกาะกลุ่ม “ท็อปโฟร์” ใน 4 อันดับแรกบนหัวตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกให้ได้เหมือนเดิม เพื่อคว้าสิทธิ์กลับไปโชว์ฝีเท้าในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ช่วงซีซั่นหน้านั่นเอง หากจะว่าไปแล้ว ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ เป็นอีกหนึ่งทีมลูกหนังที่มีการลงทุนจ้างกุนซือฝีมือดีให้เข้ามารับงานคุมทีมแบบต่อเนื่องเลย และถือว่าเป็นอีกหนึ่งสโมสรฟุตบอลที่ใช้กุนซือค่อนข้างเปลืองอยู่เหมือนกัน เพราะว่านับตั้งแต่พบกับความสำเร็จครั้งล่าสุดจากเมื่อตอนที่ ฆวนเด้ รามอส โค้ชชาวสเปนที่เคยสร้างชื่อจากการนำทัพ เซบีญ่า คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ หรือที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นยูฟ่า ยูโรปาลีก ได้ถึง 2 สมัยติดต่อกันได้นำทัพ “ไก่เดือยทอง” คว้าแชมป์ลีก คัพ ในปี 2008 จากการเฉือนชนะ เชลซี ในนัดชิงตอนช่วงต่อเวลาพิเศษด้วยสกอร์ 2-1
หลังจากนั้น ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ มีการเปลี่ยนตัวกุนซือมาแล้วถึง 7 คน และแต่ละคนมีชื่อเสียงคุ้นหูแฟนบอลเป็นอย่างดีเลยด้วย ไล่ตั้งแต่ แฮร์รี่ เรดเนปป์, อังเดร บียาส โบอาส , ทิม เชอร์วู้ด, เมาริซิโอ โปเชตติโน่, โจเซ่ มูรินโญ่, นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ รวมถึง อันโตนิโอ คอนเต้ แต่กลับไม่มีใครสามารถเนรมิตความสำเร็จได้เหมือนอย่างที่หวังเอาไว้ในช่วงตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา และทำได้ดีที่สุดเพียงแค่สวมบท “พระรอง” เพราะเป็นได้เพียงแค่ “ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวัง” จากการปราชัยในนัดชิง 2 รายการ ไล่ตั้งแต่เมื่อตอนที่ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ พาทีมผ่านเข้าถึงนัดชิงถ้วยใบใหญ่สุดของทวีปยุโรป นั่นก็คือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2019 แต่เป็นฝ่ายแพ้ ลิเวอร์พูล ด้วยสกอร์ 0-2 หลังจากนั้น โจเซ่ มูรินโญ่ ได้พาทีมผ่านเข้าถึงนัดชิงคาราบาว คัพ ในปี 2021 แต่กลับโดนไล่ออกจากตำแหน่งในช่วงก่อนเกมรอบชิงชนะเลิศ จึงมอบหมายให้ ไรอัน เมสัน สวมบทเป็นกุนซือขัดตาทัพในนัดชิง และทำได้ดีที่สุดเพียงรองแชมป์ เพราะเป็นฝ่ายแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 0-1 นั่นเอง ทำให้กุนซือฝีมือดีหลายๆ คนต้องเอาชื่อมาทิ้งกับ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ เพราะถูกปลดออกจากตำแหน่งทั้งหมดเลยนั่นเอง ซึ่งเป็นเหมือน “แพะรับบาป” ที่ต้องสังเวยให้กับผลงานในสนามในยามที่โชว์ฟอร์มได้ไม่น่าประทับใจ แต่ถือว่าคนที่ทำหน้าที่เป็น “กุนซือ” จะต้องเป็นคนรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นคนแรกอยู่แล้วด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ “ไก่เดือยทอง” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทีมลูกหนังที่มีการจ่ายเงินซื้อนักเตะชื่อดังเข้ามาเสริมทัพแบบต่อเนื่องเลยด้วย โดยเฉพาะในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาลนี้ที่ได้ทุ่มเงินคว้า ริชาร์ลิซอน กองหน้าทีมชาติบราซิลมาจาก เอฟเวอร์ตัน ด้วยมูลค่ารวมสูงถึง 60 ล้านปอนด์เลยทีเดียว แม้จะมีนักเตะฝีเท้าดีให้เลือกใช้งานได้แบบไม่ขาดสายเลย ซึ่งรวมถึง แฮร์รี่ เคน ดาวยิงคนเก่งที่ได้อยู่ปักหลักรับใช้สโมสรมานานกว่าหนึ่งทศวรรษแล้วด้วย แต่ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ กลับเหมือนโดนคำสาปไม่ให้พบกับความสำเร็จ และดูเหมือนว่าจะไร้ DNA ของการเป็นผู้ชนะมานานแล้วด้วย หลังจากที่เหล่ากุนซือชื่อดังของ “ไก่เดือยทอง” คนแล้วคนเล่าไม่สามารถพาทีมไปถึงฝั่งฝันได้เสียที ทำให้ อันโตนิโอ คอนเต้ ต้องให้สัมภาษณ์แบบทิ้งระเบิดใส่ “ไก่เดือยทอง” ด้วยการเอ่ยปากตำหนินักเตะว่า “เห็นแก่ตัว”
จากการเล่นกันแบบไม่มีใจไร้ความเป็นทีม และมีการเอ่ยปากระบายความอัดอั้นตันใจแบบพร้อมแตกหักด้วยการกล่าวโจมตีการทำงานของสโมสรที่มีปัญหาสะสมแบบ “สนิทเนื้อใน” มานานแล้วอีกต่างหาก ซึ่งเป็นเหมือนการ “พลีชีพ” แบบไม่แคร์ว่าจะต้องกลายเป็นคนตกงานในช่วงหลังให้สัมภาษณ์โจมตีทีมต้นสังกัดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ จึงกลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ตัดสินใจไล่ออกจากเก้าอี้นายใหญ่แห่งถิ่นท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ สเตเดี้ยม เพราะได้สั่งปลดกุนซือวัย 53 ปีออกจากตำแหน่งแบบแยกทางกันตามความยินยอมพร้อมใจกันของทั้งสองฝ่ายที่ไม่อยากร่วมงานกันอีกต่อไปเสียแล้วนั่นเอง แม้จะใกล้หมดสัญญาตามข้อผูกมัดระหว่างกันในช่วงหลังจบฤดูกาลนี้อยู่แล้วก็ตาม
ทั้งนี้สิ่งที่ อันโตนิโอ คอนเต้ ได้สื่อสารผ่านการสัมภาษณ์แบบ “ทิ้งบอมบ์” เอาไว้ก็เพื่อให้เห็นถึงปัญหาวัฒนธรรมภายในองค์กรของ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ซึ่งพร้อมปกป้องนักเตะในยามที่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น และเลือกที่จะจัดการกับ “กุนซือ” ในยามที่มีปัญหานั่นเอง ยกตัวอย่างจากกรณีของ ริชาร์ลิซอน กองหน้าค่าตัวแพงที่ได้ให้สัมภาษณ์ตำหนิ คอนเต้ ผ่านสื่อว่าไม่ยอมให้โอกาสเขาลงสนามเป็นตัวจริง ซึ่งถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับทีมใหญ่ๆ จะต้องมีการลงโทษนักเตะในข้อหาประพฤติตัวไม่เหมาะสมจากการเอ่ยปากวิจารณ์ทีมต่อหน้าสาธารณะอย่างแน่นอน แต่ “ไก่เดือยทอง” กลับปล่อยผ่านแบบไม่มีการลงโทษนักเตะเลยด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันสื่ออังกฤษได้มีการวิเคราะห์เอาไว้ว่า ดาเนี่ยล เลวี่ ในฐานะของคนที่ทำธุงรกิจฟุตบอลน่าจะมองนักเตะในทีมของเขาเป็นเหมือน “ทรัพย์สิน”
เพราะถ้าตัดสินใจขายก็อาจจะได้ฟันกำไรเป็นเงินก้อนใหญ่นั่นเอง จึงต้องเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดีเอาไว้ก่อน ซึ่งแตกต่างจากการมองคนที่สวมบทเป็น “กุนซือ” ว่าเป็น “ค่าใช้จ่าย” แบบสิ้นเปลืองเสียมากกว่า จึงพร้อมตัดสินใจปลดทิ้งแบบไม่เสียดายเลยด้วย หากจะว่าไปแล้วปัญหาของ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ แทบจะไม่ได้ต่างไปจากเรื่องที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยประสบมาก่อนเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าเคยให้พวกนักเตะดาวดังมีปากมีเสียงเหนือกว่ากุนซือนั่นเอง แต่ดูเหมือนว่าปัญหาเหล่านี้แทบจะไม่เกิดขึ้นในหลังจากที่ให้ เอริค เทน ฮาก เข้ามาสวมบทเป็นกุนซือแบบให้มีอำนาจในเรื่องของการจัดการทีมแบบเต็มมือไปเลย และสโมสรได้เปลี่ยนท่าทีไปจากเมื่อก่อนด้วยการหันมาให้การสนับสนุนกุนซือของพวกเขาเป็นอย่างดีเลยด้วย ดูได้จากการจัดการเรื่องของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีใครใหญ่ไปกว่าสโมสร และสามารถกลับมาประสบความสำเร็จจากการคว้าแชมป์คาราบาว คัพ ได้อีกครั้ง
ส่วน “ไก่เดือยทอง” ยังคงต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดจาก “สนิมเนื้อใน” ไปก่อน และยังไม่รู้ว่าจะมีการลงมือแก้ไขไปตามที่สิ่ง อันโตนิโอ คอนเต้ ได้เอ่ยปากชำแหละแบบ “พลีชีพ” เอาไว้หรือเปล่า จึงอาจจะต้องถอดบทเรียนที่เกิดขึ้นกันเสียที หากไม่อยากวนลูปในแบบเดิมๆ อีกต่อไป เพื่อจะได้ยกระดับของทีมไปสู่ความสำเร็จเหมือนอย่างที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ให้ได้เสียที แม้ว่าจะพร้อมลงทุนสร้างทีมแบบ “หว่านพืชหวังผล” แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการ “หว่านเมล็ดบนเม็ดทราย” ที่ไม่เคยผลิดอกออกผลให้เชยชมได้เลย เพราะยังคงไร้ถ้วยแชมป์แบบซ้ำซากเหมือนเดิม และยังคงต้องรอคอยความสำเร็จเหมือนอย่างที่วาดหวังเอาไว้กันต่อไป
บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
บทความนี้นับสนุนโดย Siam99 เว็บคาสิโนออนไลน์ที่นึ่งในประเทศไทยสมัครตอนนี้รับตั๋ว5ใบทันที